สหรัฐฯ มีการพูดกันอย่างหนักในเรื่องอีคอมเมิร์ชได้ยึดครองตลาด Cyber Monday ทำสถิติทุบยอดขายทางออนไลน์ถึง 3.45 พันล้านเหรียญฯ

The National Retail Federation รายงานว่าตลอดสุดสัปดาห์ Black Friday คนซื้อหาสินค้าทางออนไลน์ใน Wal-Mart Stores และ Amazon.com มากขึ้น

“ซึ่งสินค้าต่างๆเปลี่ยนจากการลดราคาหนึ่งวัน มาเป็นการเสนอขายสินค้าราคาถูกนานหลายสัปดาห์” แต่ก็ยังมีร้านค้าปลีกบางรายที่ยืนหยัดต่อสู้กับแนวโน้มนี้ ตัวอย่างเช่น TJ Maxx และ Marshalls ซึ่งมีเจ้าของเดียวกันคือบริษัท TJXCos. สำหรับธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐฯถือว่าหายากมากที่ร้านค้าจะไม่สนใจกระแสออนไลน์ แต่นั่นเพราะบริษัทฯ ของพวกเขาอยู่บนพื้นฐานของ "ประสบการณ์ค้าปลีกในชีวิตจริงของผู้บริโภค"พวกเขาบริหารจัดการสินค้าในสต๊อกให้เปลี่ยนไปอย่างสม่ำเสมอ เมื่อลูกค้าไปที่ร้านแต่ละครั้งสินค้าจะไม่เหมือนเดิม ทำให้ผู้ซื้อสินค้าเกิดความรู้สึกเหมือนการผจญภัย แม้ว่าจะไม่สามารถหาซื้อสินค้าได้แต่ก็ยังได้รับความสนุกในการค้นหาสินค้ำ และคอนเซ็ปท์ที่ว่า “ลูกค้าจะสามารถค้นพบสินค้ำดีๆในราคาถูก" ก็คือสิ่งที่ดึงดูดผู้ซื้อให้เข้ามาในร้าน

ปัจจุบันผู้ซื้อสินค้าทุกเพศทุกวัยทุกเชื้อชาติให้ความสำคัญเรื่องคุณค่าของสินค้ามากขึ้นกว่าในอดีต ความตื่นเต้นในการค้นหาสินค้าที่วางขายลดราคาช่วยสร้างความดึงดูดใจลูกค้าไม่น้อย แม้กระทั่งกลุ่มคนหนุ่มสาวหรือกลุ่ม millennials (อายุ 18 – 34 ปี) ที่เติบโตมากับการซื้อสินค้าทางออนไลน์ก็หันเข้าร้านแบบนี้ด้วยเหตุผลเดียวกัน

(บริษัท TJX มีฐานอยู่ที่เมือง Framingham รัฐ Massachusetts และมีคู่แข่งสำคัญอย่าง Ross Stores Inc.และ Burlington Stores Inc. ซึ่งเขาเหล่านี้ได้มุ่งมั่นทำออนไลน์แล้วทั้งสิ้น)

TJX มีทีมเจ้าหน้าที่ที่คอยซื้อสินค้า พวกเขาจะทำการค้นหาและเลือกซื้อสินค้าจากตลาดค้าส่ง พร้อมเสาะแสวงหาสินค้าทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ (เปรียบเทียบ) โดยผู้ซื้อที่เป็นตัวแทนของบริษัทฯจะกว้านซื้อสินค้าต่างๆในจำนวนมาก แล้วนำไปขายต่อในราคาที่ต่ำกว่าปกติ นอกจากนี้บริษัทฯยังมีการเลือกสินค้าที่เหมาะสมกับแนวโน้มความต้องการในแต่ละท้องถิ่นด้วย

ปัจจุบัน TJX มีร้านค้ากว่า 2,500 แห่งทั่วสหรัฐฯ TJX และมีพันธมิตรกว่า 18,000 ราย หมายรวมถึงผู้ผลิตและผู้ค้าปลีก (T.J. Maxx ก็มีขายเสื้อผ้าและเครื่องประดับบนเว็บไซต์ของร้าน แต่ผู้ซื้อไม่ได้ประสบการณ์ของการไปขุดคุ้ยหาสินค้าในร้าน และ T.J Maxx ก็ไม่ได้มีความวิตกกังวลในเรื่องการขายทางออนไลน์แต่อย่างใด) จากที่ผู้บริหาร T.J. Maxx ได้เคยกล่าวไว้หลายครั้งว่า บริษัทฯมองอีคอมเมิร์ชว่าเป็นเพียงตัวเสริมการขายในร้านค้าเพื่อดึงลูกค้าเข้าร้านเท่านั้น นั่นเพราะ tjmaxx.com ได้เปิดตัวในปี 2013 แต่กลับมียอดขายเพียงร้อยละ 1 ของยอดขายทั้งหมดและยอดขายนี้ไม่มีผลกระทบใดๆต่อการเติบโตของธุรกิจของบริษัทฯ เมื่อปีที่แล้วนโยบายของ T.J. Maxx ได้ผล หุ้นของบริษัทฯมีการเติบโตกว่าสองเท่าตัวในระยะ 6-7 ปีที่ผ่านมาและบริษัทฯมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30 ในปีที่ผ่านมาและยี่ห้อ TJX’s 10 ยังสามารถทำรายได้เกือบ 31 พันล้านเหรียญฯ ระบบของ T.J. Maxx

เป็นเรื่องยากที่จะเลียนแบบ เพราะเขามีเครือข่ายผู้หาซื้อสินค้ามาสะสมไว้ในสต๊อกที่กว้างขวาง ผู้ซื้อสินค้าของบริษัทจะแสวงหาสินค้าที่ต้องการ ที่ไม่จำเป็นจะต้องมีเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นสินค้า closed-out หรือเป็น samples และจะเสนอขอซื้อสินค้าเหล่านั้นในราคาถูก ซึ่งเป็นวิธีการที่แตกต่างจากร้านค้าประเภท department store ปกติ

ที่มาของภาพ : huffingtonpost.com, si.wsj.net