กรมส่งเสริมอุตส
าหกรรม (กสอ.) เปิดเผยถึงการดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพในป
ระเทศไทยในขณะนี้ว่า กำลังได้รับความนิยมอย่
างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคในปัจจุบั
นเริ่มมองหาสิ่งที่ยังไม่เคยเกิ
ดขึ้นและความแปลกใหม่ในสินค้
าและการบริการมากขึ้น ทั้งนี้ จากการส่งเสริมด้วยกิจกรรมและโค
รงการต่างๆ ในปี 2559 ที่ผ่านมาสามารถสร้างผู้ดำเนิ
นธุรกิจสตาร์ทอัพได้ถึง 590 ราย โดยในปี 2560 ยังคงมุ่งมั่นในการสร้างกลุ่มเห
ล่านี้ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อ
ง
นอกจากนั้น ยังได้แนะกลยุทธ์เพื่อก้าวสู่กา
รเป็นสตาร์ทอัพ 5 ข้อที่ต้องคำนึงถึง ได้แก่
1. ทำสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นหรือพัฒนาแล้วแต่ยังไม่ตอบโจทย์
ต้องทำสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นหรือพัฒนาแล้วแต่ยังไม่ตอบโจทย์ สำหรับกลยุทธ์ดังกล่าวนี้จะเป็นการเปลี่ยนทัศนคติหรือวิถีการใช้ชีวิตของผู้บริโภค โดยผู้ประกอบการจะต้องสร้างสินค้าหรือการบริการที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภคได้ทดลองใช้และเกิดความรู้สึกประทับใจ ต่อยอดไปจนถึงการทำให้รู้สึกว่าสินค้าและการบริการนั้นๆ มีความจำเป็นจนกระทั่งเกิดความจงรักภักดีและขาดบริการหรือสินค้าเหล่านั้นไม่ได้ อาทิ บริการช่องทางการเงินระบบออนไลน์ บริการจองรถรับส่ง เป็นต้น
2. แก้ไขปัญหาได้ตรงใจผู้บริโภค
ต้องสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงใจผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคกลายเป็นผู้มีอำนาจอย่างเต็มที่ในการตัดสินใจซื้อหรือที่เรียกกันว่าEmpoweredCustomer กลยุทธ์ในข้อดังกล่าวนี้จึงต้องผลิตสินค้าหรือบริการมาเพื่อแก้ปัญหาหรือตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละกลุ่มบุคคลที่มีความแตกต่างกันไป โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตมีความสะดวกสบายมากขึ้น ตอบสนองได้ทันทีทันใด ซึ่งกลยุทธ์ในข้อนี้มักเกี่ยวพันกับชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นในด้านแฟชั่น ความงาม สุขภาพ อาหาร ท่องเที่ยว ฯลฯ โดยมีตัวอย่าง อาทิ บริการแนะนำร้านอาหาร บริการช็อปปิ้งออนไลน์
3. ต่อยอดจากธุรกิจเดิมและเติมประโยชน์เพิ่มรองรับความต้องการใหม่
ต้องต่อยอดจากธุรกิจเดิมและเติมประโยชน์รองรับความต้องการใหม่ ปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งที่สตาร์ทอัพต้องมีและต่างจากธุรกิจแบบเดิม ๆ คือการอาศัยโมเดลทางธุรกิจใหม่ ๆ เข้ามาต่อยอดหรือเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจที่เคยมีอยู่ ทั้งยังต้องเพิ่มประโยชน์หรือคุณค่าใหม่ ๆ เสริมให้กับสินค้าหรือการบริการเก่า ๆ โดยกลยุทธ์ในข้อนี้ต้องสามารถทำให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกคุ้มค่าหรือเห็นด้วยกับการต้องเพิ่มค่าบริการที่มากขึ้น อาทิ บริการอาหารเดลิเวอรี่ บริการจองที่พักออนไลน์
4. ใช้เทคโนโลยีหรือระบบออนไลน์ให้เป็นประโยชน์
ต้องใช้เทคโนโลยีหรือระบบออนไลน์ให้เป็นประโยชน์ เทคโนโลยีถือเป็นต้นทุนประเภทหนึ่ง ซึ่งสามารถก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเสียเงินน้อยที่สุด ทั้งยังแสดงให้ผู้บริโภคเห็นถึงความสะดวก เห็นภาพลักษณ์ที่ดีและความทันสมัยของธุรกิจ ช่วยทำให้วิธีการทำงานเดิมมีความหลากหลายๆ และง่ายขึ้น ทั้งยังเป็นช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่ปัจจุบันการสื่อสารผ่านโลกโซเชียลถือเป็นอีกหนึ่งในกลยุทธ์ที่หลากหลายที่สตาร์ทอัพเลือกใช้เนื่องจากแทบไม่ต้องลงทุนใด ๆ โดยสามารถอาศัยทั้งจากระบบสังคมออนไลน์ที่มีอยู่ รวมทั้งการพัฒนาให้เกิดขึ้นใหม่ อาทิ การเพิ่มฐานผู้บริโภคผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ระบบซื้อขาย-โฆษณาผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชันต่าง ๆ เป็นต้น
5. มีความคิดสร้างสรรค์ที่แหวกแนวไม่เหมือนใคร
ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ที่แหวกแนวไม่เหมือนใคร ซึ่งสำหรับกลยุทธ์ข้อดังกล่าวนี้ถือได้ว่าเป็นหัวใจที่สำคัญที่สุดของการก้าวสู่การเป็นสตาร์ทอัพ เนื่องจากการที่ผู้บริโภคมองหาความแปลกใหม่อย่างไม่จำกัดถือเป็นช่องทางให้เกิดการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ขึ้นมาได้อย่างไม่รู้จบ แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความแปลกใหม่นั้นจะมีอยู่อย่างมากมายจนอาจนับไม่ถ้วน ผู้ที่จะก้าวเป็นสตาร์ทอัพก็ต้องสร้างสินค้าหรือบริการที่สามารถดำเนินได้ในระยะยาว ต้องไม่เป็นธุรกิจที่ดำเนินขึ้นอย่างฉาบฉวย สามารถเพิ่มความแปลกใหม่และกิจกรรมส่งเสริมการขายเข้ามาเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ได้เรื่อยๆ อาทิ บริการแอปพลิเคชันเพื่อการท่องเที่ยวครบวงจร บริการดูแลผู้สูงอายุ ธุรกิจบริการพนักงานขับรถ เป็นต้น
ที่มา : กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
http://nec.go.th