เศรษฐกิจไทยกำลังก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ภายใต้นโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” ที่มีการเปิดตัวไปตั้งแต่ปี 2016 ที่ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าให้กับระบบเศรษฐกิจ และให้ประเทศหลุดพ้นจากประเทศรายได้กับดักปานกลาง ภายใต้แผนระยะยาว 20 ปี เป็นอย่างที่ทราบกันดีว่า “ไทยแลนด์ 4.0” จะถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรม ดังนั้น บทความนี้เรามาดูโอกาสที่รออยู่ของเหล่า Startup กันครับ การท่องเที่ยวต้องก้าวหน้ามากกว่าเดิม อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ถือว่ามีส่วนสำคัญที่ทำให้จีดีพีมีสัดส่วนถึงร้อยละ 17-18 ในปี 2017 ซึ่งการเดินทางมาของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะมีกิจกรรมหลัก คือ ช้อปปิ้ง, เที่ยวชมวัด อย่างไรก็ผู้ประกอบการท้องถิ่นสามารถใช้ประโยชน์จากการท่องเที่ยว สร้างรูปแบบกิจกรรมแบบใหม่ได้ เช่น การเชื่อมโยงกิจกรรม CSR เข้ากับการท่องเที่ยวแบบชุมชนให้เกิดเป็นธุรกิจ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดี และน่าจดจำให้แก่นักท่องเที่ยว โดย Startup ที่ทำธุรกิจในรูปแบบนี้ชัดเจน คือ Local Alike ที่วางกิจกรรมให้กับนักท่องเที่ยวที่มาได้เรียนรู้ เข้าใจวิถีชีวิตของชุมชนแต่ละท้องถิ่น ซึ่งวิธีนี้สามารถสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนได้สามารถออกแบบ และจัดการทัวร์ชุมชนตามแบบฉบับของตัวเอง ภาคการเกษตรต้องเป็น “สมาร์ท ฟาร์มเมอร์” ภาคการเกษตร เป็นกำลังหลักที่จะขับเคลื่อนจีดีพีของประเทศไทย ดังนั้น หากจะเป็นไทยแลนด์ 4.0 ภาคการเกษตรต้องมีการนำเอาเทคโนโลยี และนวัตกรรมเข้ามาช่วย ยกระดับตัวเองให้กลายเป็น “สมาร์ท ฟาร์มเมอร์” ซึ่ง Startup ที่ทำธุรกิจโดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเกษตรกร จะมีโอกาสเติบโตต่อไปในอนาคต สำหรับตัวอย่าง Startup ในเรื่องนี้ คือ Ling ที่เริ่มต้นเสนอแพลตฟอร์มในเรื่องแผนที่ และให้บริการวิเคราะห์ภาพจากดาวเทียมบน Google Maps ไม่เพียงเท่านั้น ล่าสุดยังเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ  Ling Farm ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันให้บริการแก่เกษตรกรโดยตรง อย่างไรก็ตาม แม้ว่า “ไทยแลนด์ 4.0” กำลังได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาล อย่างไรก็ตาม การสำรวจโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้า พบว่าแนวคิดนี้ยังคงเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ของคนทั่วไปอยู่ โดยมีเพียงร้อยละ 1 ของนักธุรกิจที่รู้ว่าไทยแลนด์ 4.0 คืออะไร และร้อยละ 55 มีความรู้ในเรื่องนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความหลากหลายของประชาชนภายในประเทศ ซึ่งแผนงานต่างๆ ล้วนต้องใช้เวลาในการพัฒนา และดำเนินการ