คุณมี DNA ความเป็นเจ้าของธุรกิจหรือไม่? หาคำตอบง่ายๆ ด้วยแบบทดสอบนี้
by Anirut.j, 6 ตุลาคม 2566
หากการทำงานในองค์กรต้องมีการวิเคราะห์ถึงจุดแข็ง-จุดอ่อน เพื่อนำมาปรับปรุง พัฒนาทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมการทำธุรกิจก็หนีไม่พ้น ต้องมีแบบทดสอบเหมือนกัน เพราะจะได้สำรวจรู้ตัวเองว่ามีความเหมาะที่จะทำธุรกิจหรือไม่
Smartsme จึงขอนำเสนอแบบทดสอบที่ชื่อว่า “BOSI Framework” ถูกคิดค้นโดย Joe Abraham ซึ่งครอบคลุมการเป็นผู้ประกอบการทำธุรกิจในทุกด้าน โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปทำแบบทดสอบตามลิงก์นี้ได้เลย https://n9.cl/v16ho
สำหรับผลลัพธ์ของแบบทดสอบจะเป็นการชี้ให้เห็นถึง DNA ความเป็นเจ้าของธุรกิจของคุณว่าอยู่ในประเทศไหน แบ่งได้ดังต่อไปนี้
B - Builder: นักสร้างธุรกิจ เริ่มต้นจากศูนย์ ทำธุรกิจให้เติบโต มีการปรับปรุงการทำงานอยู่เสมอ เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ เพื่อประสบความสำเร็จ
O - Opportunist: นักมองหาโอกาส เล็งเห็นถึงไอเดียธุรกิจ เพื่อให้ประสบความสำเร็จ มีกำไรอย่างรวดเร็ว จะได้ไม่ต้องทำงาน มีเวลาไปท่องเที่ยว
S – Specialist: นักธุรกิจเฉพาะทาง เหมาะกับการทำธุรกิจเฉพาะ รักในสิ่งที่ทำ ได้ช่วยเหลือผู้คน ส่วนเงินไม่ใช่ปัจจัยหลัก
I- Innovator: นักสร้างสรรค์ สุดยอดนักคิด มีไอเดียแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร และมักซุ่ม เก็บเงียบเพื่อสร้างธุรกิจ
ลองทำกันดูนะครับ ได้ผลลัพธ์ออกมาอย่างไรก็มาบอกกันได้
ที่มา: businessballs
Mostview
เปิดธุรกิจที่ได้รับประโยชน์ หากเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เริ่มใช้งาน
ผลสำรวจบอกผู้มีสิทธิ์ใช้เงินดิจิทัลวอลเล็ต จะเลือกใช้จ่ายร้านค้าท้องถิ่น 40% รองลงมาเป็นร้านสะดวกซื้อ เช่น CJ, 7-Eleven 26%
ปิดแล้ว! ร้าน Lawson ฉากหลังภูเขาฟูจิ หลังนักท่องเที่ยวไม่ทำตามกฏ ทิ้งขยะเกลื่อน
อีกหนึ่งจุดถ่ายภาพเวลานักท่องเที่ยวไปภูเขาฟูจิที่ประเทศญี่ปุ่น นั่นคือพื้นที่ร้านสะดวกซื้อ Lawson ที่มีฉากหลังเป็นภูเขาฟูจิ ที่เรียกว่าเป็นแลนด์มาร์คที่ใครมาต้องมาถ่ายรูปให้ได้ แต่ตอนนี้กำลังจะเหลือเพียงความทรงจำ กลายเป็นอดีต
สิงคโปร์ แจกเงินละ 8,000 บาท ให้ 1.1 ล้านครัวเรือนไปซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า-ประปา ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
จากสถานการณ์โลกร้อนทำให้หลายประเทศกลับมาตระหนักถึงเรื่องนี้กันมากยิ่งขึ้น ทำอย่างไรที่จะออกนโยบายที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้ประชาชนตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอันดับต้น ๆ
จับตาราคา “เนย” เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในตลาดโลกใกล้แตะระดับสูงสุดเท่าทีเคยมีมา
ไม่ใช่ “โกโก้” เท่านั้นที่ราคาพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์จากปัจจัยเรื่องของสภาพอากาศที่เลวร้าย และโรคที่มากับพืชจนส่งผลกระทบต่อแหล่งเพาะปลูก ทำให้ได้ผลผลิตน้อย นำมาสู่การปรับราคาของสินค้าที่มี “โกโก้” เป็นส่วนผสม ซึ่งคาดการณ์ว่าราคาจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ