นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า กำลังประสานกับธนาคารกลางของสิงคโปร์ เพื่อให้เชื่อมต่อระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ระหว่าง "PromptPay" (พร้อมเพย์) ของประเทศไทย กับระบบ "PayNow"(เพย์นาว) ของสิงคโปร์ เข้าเป็นระบบเดียวกัน ทั้งนี้ ก็เพื่อให้สามารถรองรับการใช้งานระหว่างประเทศได้ ซึ่งธปท.คาดว่าจะสามารถใช้งานได้ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563

ทั้งนี้ ในอนาคตอันใกล้ ระบบการชำระเงินของแต่ละประเทศจะสามารถเชื่อมกันได้ ผ่านการสร้างแพลตฟอร์มกลางที่เป็นมาตรฐานซึ่งแต่ละประเทศสามารถใช้ร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ในส่วนโครงสร้างพื้นฐานของระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ที่อาจเป็นมาตรฐานกลางอาจไม่จำเป็น เพราะการพัฒนาระบบของแต่ละประเทศอาจมีความแตกต่างกันได้ จึงเกรงว่าจะมีความล่าช้า ดังนั้นจึงเร่งพัฒนาระบบให้เชื่อมโยงกันได้น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า นอกจากนี้ ล่าสุดธนาคารกลางของมาเลเซียก็ได้แสดงเจตนาจะเข้าร่วมเชื่อมต่อระบบการชำระเงินด้วยเหมือนกัน

"การเชื่อมต่อระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างประเทศ จะช่วยในการพัฒนาด้าน business rules หรือกฎเกณฑ์ทางธุรกิจ ซึ่งอาจจะมีข้อตกลงเรื่องการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในอนาคต ซึ่งหากเชื่อมต่อกันได้ก็จะสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว และไม่จำเป็นต้องเสียค่าธรรมเนียมที่แพงหากมีการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ หรือรอการทำธุรกรรมที่นานเป็นวัน ซึ่งกลุ่มคนที่จะได้ประโยชน์จากการเชื่อมระบบการจ่ายเงิน จะเป็นกลุ่ม SMEs นักท่องเที่ยว และแรงงานต่างด้าว" นายวิรไท กล่าว

ผู้ว่าการฯ ธปท. กล่าวอีกว่า สำหรับการเชื่อมระบบชำระเงิน ดังกล่าวนั้น จะมีหลายรูปแบบ เช่น การใช้คิวอาร์โค้ดในการชำระเงิน จะสามารถทำจากประเทศหนึ่งไปเชื่อมอีกประเทศหนึ่งในลักษณะ bank to bank หรือทำผ่านระบบของที่อื่น เช่น Be-Wallet ที่ธนาคารกรุงเทพทำนั้นจะเป็นการทำผ่านเครือข่าย UnionPay ที่วางระบบไว้แล้ว ดังนั้น อาจจะไม่จำเป็นต้องมีโซลูชั่นเดียว เพราะแต่ละกลุ่ม segment ก็มีความต้องการโซลูชั่นที่ต่างกัน เช่น บางคนอาจโอนเงินมาก บางคนโอนน้อยก็ต้องการความปลอดภัยในการชำระเงินที่แตกต่างกัน