เวียดนามกลายเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์จากสงครามการค้าที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐฯ – จีน จนส่งผลให้มีดุลการค้าเกินดุลเป็นจำนวนมากในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2019

จากข้อมูลศุลกากร พบว่าเวียดนามมีดุลการค้าเกินดุลมูลค่า 1.59 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2019 จากเดิมที่รัฐบาลเวียดนามคาดการณ์ว่าจะคาดดุล 43 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยการส่งออกในช่วง 6 เดือนแรกการส่งออกเวียดนามเติบโต 7.2% หรือคิดเป็นมูลค่า 122.53 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยประเทศที่มีการส่งออกมาที่สุดคือ สหรัฐฯ, เกาหลีใต้ ซึ่งเติบโต 24.7% และ 16.8% ตามลำดับ

โดยคู่ค้ารายใหญ่ของเวียดนาม คือสหรัฐฯ และจีน ที่พัวพันในเรื่องสงครามการค้าในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยอีกด้านหนึ่งเวียดนามกำลังเพลิดเพลินไปกับดุลการค้าที่เกินดุลกับสหรัฐฯ และอีกด้านหนึ่งบริษัทต่างๆ จากประเทศจีนหันมาใช้เวียดนามเป็นฐานผลิตสินค้า รวมถึงการขาดดุลการค้ากับจีนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นการกระตุ้นให้ทรัมป์มองเห็นโอกาสในการเก็บภาษีสินค้าที่มาจากเวียดนาม

เมื่อเดือนที่ผ่านมา ทรัมป์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ฮานอยจะถูกสหรัฐฯ โจมตีเลวร้ายยิ่งกว่าจีน สอดคล้องกับกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ที่ออกมาพูดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบุว่าทางการเตรียมจะขึ้นภาษีการนำเข้าเหล็กจากเวียดนามสูงถึง 456% หลังมีการตรวจสอบพบว่ามีบริษัทจากเกาหลีใต้ และไต้หวัน ใช้เหล็กมาแปรรูปเพียงเล็กน้อย ก่อนใช้เวียดนามส่งออกสินค้าต่อไปยังสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม เวียดนามได้ออกมาตอบโต้ว่า เรามุ่งมั่นที่จะทำการค้าแบบเสรี และยุติธรรมกับสหรัฐฯ และขอให้ผู้ผลิตใช้วัสดุที่มาจากท้องถิ่นเพื่อหลีกเลี่ยงศุลกากรจากสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ตามข้อมูลศุลกากร ในเดือนมิถุนายน เวียดนามมียอดเกินดุลการค้า 1.93 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูงกว่าที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ที่ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ที่มา: theedgemarkets