หลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศตัดสิทธิ GSP ของประเทศไทย โดยให้เหตุผลว่ายังคุ้มครองสวัสดิภาพแรงงานไม่ดีพอ ซึ่งจะทำให้ต่อไปไทยต้องเสียภาษีสินค้านำเข้าในอัตราปกติ เฉลี่ยประมาณร้อยละ 4.5 หรือคิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 1,800 ล้านบาท

การถูกตัดสิทธิ GSP ของสินค้าไทยในครั้งนี้มีจำนวน 573 รายการด้วยกัน โดยมีสินค้าสำคัญ ได้แก่ มอเตอร์ไซด์, แว่นสายตา, เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า, พลาสติกและของทำด้วยพลาสติก, อาหารปรุงแต่ง, เคมีภัณฑ์, อุปกรณ์ที่ทำด้วยเหล็กและเหล็กกล้า, ทองแดง, ผลิตภัณฑ์เซรามิก, เครื่องประดับ

อย่างไรก็ตาม กรมการค้าต่างประเทศ ภายใต้กระทรวงพาณิชย์ มีการเตรียม 7 มาตรการรับรองไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น มาดูกัน

1.เร่งขยายการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ช่วงปลายปีนี้จนถึงก่อนมาตรการมีผลบังคับใช้ คาดการณ์ว่าผู้นำเข้าจะเร่งนำเข้าสินค้าที่จะได้รับผลกระทบการมาเตรียมไว้ก่อน ดังนั้น ช่วงนี้อาจมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นกว่าปกติ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฐานการผลิตใน

2. เร่งกระจายความเสี่ยง โดยหาตลาดส่งออกให้หลากหลายและแสวงหาตลาดใหม่ให้สินค้าที่โดนผลกระทบ

3. ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการเกษตร และอาหารแปรรูป โดยใช้โอกาสจากภาวะเงินบาทแข็งค่าไปลงทุนในสหรัฐฯ ในรูปของสำนักงานขาย หรือการแสวงหาเทคโนโลยีทันสมัย เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

4. กระชับความสัมพันธ์กับผู้นำเข้าพันธมิตร และเพิ่มความร่วมมือกับผู้นำเข้าขนาดกลาง และเอสเอ็มอีในประเทศต่างๆ

5.สร้างความต้องการสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ เช่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมในห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารไทย และกิจกรรมส่งเสริมสินค้าไทยในหลายตลาด

6. เน้นให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพและมาตรฐานสินค้า พัฒนาสินค้าด้วยนวัตกรรม สอดคล้องกับแนวโน้มตลาด

7. ผลักดันการค้าผ่าน thaitrade.com ซึ่งเป็นช่องทางการค้าออนไลน์ที่สามารถส่งออกสินค้าไทยคู่ขนานไปกับการค้ารูปแบบเดิม และเดือนพฤศจิกายนจะเปิดตัวร่วมกับ TMall Global ในจีน และจะขยายสู่ประเทศสำคัญอื่นต่อไป

ทั้งนี้ มาตรการตัดสิทธิ GSP ของสหรัฐฯ ต่อสินค้าไทย จะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในอีก 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งไทยยังมีเวลาที่จะขอเจรจาให้มีการทบทวนเพื่อคืนสิทธิกลับมาเหมือนเดิมได้

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

• พาณิชย์แจงสหรัฐฯตัดสิทธิ์ GSP ไม่เกี่ยวแบน 3 สาร ชี้ภาษีถูกตัดประมาณ1,500-1,800 ล้านบาท