นายกฯ นำประชุม ครม.เศรษฐกิจ วางแนวทางบริหารจัดการเศราฐกิจปี 63 เน้น 5 ด้าน ดูแลภาคเกษตร SME เศรษฐกิจฐานราก พลักดันการใช้จ่ายภาครัฐผ่านงบไม่ต่ำกว่า 92.3% การขยายตัวการส่งออก 3%

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวก่อนเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ)วันที่ 22 พ.ย. 62 ว่า ปัจจุบัน สถานการณ์ทางเศรษฐกิจจำเป็นจะต้องพิจารณาในกรอบกว้างด้วย นอกเหนือจากกิจกรรมที่มีอยู่ในความรับผิดชอบ เพื่อเดินหน้าไปทั้งการสร้างความเข้มแข็ง การดูแลผู้มีรายได้น้อย หรือผู้มีรายได้ปานกลางและต้องทำในทุกมิติ

ซึ่งได้ให้แนวทางไปแล้วว่า คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจมีที่มาจากหลายส่วนและหลายพรรคการเมือง จึงย้ำทุกครั้งว่า การทำงานทุกครั้งอยู่ในกรอบของรัฐบาล ซึ่งทุกหน่วยงานต้องนำนโยบาย คำสั่งการ หรือมติของที่ประชุมไปขับเคลื่อน นอกเหนือจากงานประจำของส่วนราชการและกระทรวงแล้ว

นอกจากนี้ ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ สังคมรอความหวัง รอสิ่งที่รัฐบาลทำ จึงอย่าลืมว่า สิ่งที่ต้องทำวันนี้ต้องทำคู่ขนานกันไป ทั้งเรื่องในปัจจุบันที่เป็นปัญหาความเดือดร้อน รวมถึงการสร้างอนาคตไปด้วยกัน ทั้งด้านการเกษตร การลงทุนและอุตสาหกรรม รวมถึงการใช้จ่ายโครงการของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและการกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายระดับล่างให้มากที่สุด

รายงานข่าวเปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจวันนี้ ให้ความเห็นชอบแนวทางบริหารจัดการเศรษฐกิจปี 63 ใน 5 ด้านด้วยกันคือ

1.การดูแลเกษตรกร กำลังแรงงาน ผู้มีรายได้น้อย SME และ เศรษฐกิจฐานราก โดยจะมีการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานราก การช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการ การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและรายได้สุทธิของเกษตรกร

2.การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ วางเป้าหมายการเบิกจ่ายในปีงบประมาณ 2563 โดยงบประมาณประจำปีรวม 92.3% งบประจำ 98% งบลงทุน 70% งบเหลื่อมปี 73% งบลงทุนรัฐวิสาหกิจ 80%

3.การขับเคลื่อนการส่งออกให้ขยายตัวไม่ต่ำกว่า 3% ในปี 63

4.การขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน มูลค่าการลงทุนในปี 63 เพิ่มขึ้น 5.9% จากปี 62 ด้วยมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน การส่งเสริมการลงทุน และมาตรการรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ (Thailand Plus Package)

5.การสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยมีเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างประเทศในปี 63 จำนวน 41.8 ล้านคน สร้างรายได้รวม 2.22 ล้านล้านบาท