ธนชาตขยายสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ SME ธนาคารธนชาต ขยายสินเชื่อเพื่อเอสเอ็มอีหวังชิงมาร์เก็ตแชร์ ตั้งเป้ายอดปล่อยกู้ใหม่ 1 หมื่นล้านบาท นายสนอง คุ้มนุช รองกรรมการผู้จัดการ เครือข่ายลูกค้ารายย่อยและธุรกิจขนาดเล็ก ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้ธนาคารจะเน้นการขยายสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายย่อย หรือ SMEs เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมองว่าเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีโอกาสขยายตัวได้ค่อนข้างมาก ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วประเทศอยู่ที่ 2.7 ล้านราย แต่เป็นกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs มากถึง 99% อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันพบว่ากลุ่มลูกค้า SMEs ยังเข้าสู่ระบบทางการเงินได้น้อยมาก เนื่องจากติดปัญหาในเรื่องของหลักฐานเอกสารต่างๆ หรือไม่มีความชัดเจนในเรื่องของบัญชีจึงทำให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิเสธการปล่อยสินเชื่อ แต่จากล่าสุดที่รัฐบาลมีนโยบาย SMEs บัญชีเดียว ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น เนื่องจากจะมีความชัดเจนในเรื่องของการเดินบัญชี รวมถึงการเพิ่มทางเลือกของหลักทรัพย์ค้ำประกันสินเชื่อ สำหรับภาพรวมทั้งปี 2559 นี้ ธนาคารคาดว่าจะมียอดปล่อยสินเชื่อใหม่ในกลุ่มลูกค้า SMEs ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท และตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อ SMEs เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 1.6-1.7 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท ขณะที่ตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ของกลุ่มลูกค้า SMEs ในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 1% ซึ่งน้อยกว่าระบบที่อยู่ในระดับ 2-3% เนื่องจากที่ผ่านมาธนาคารค่อนข้างเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ แต่ในปีนี้ธนาคารมีการผ่อนคลายเงื่อนไขบางอย่างลงเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น และสอดคล้องกับเป้าหมายสินเชื่อของธนาคารในปีนี้ ขณะที่ในปีนี้ธนาคารจะมีการแบ่งลูกค้าออกเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มลูกค้าที่ยังใช้เงินสดในการทำธุรกรรม กลุ่มลูกค้าที่ต้องการลดความเสี่ยง และกลุ่มลูกค้าที่ต้องการขยายกิจการ โดยกลุ่มลูกค้าที่ยังใช้เงินสดในการทำธุรกรรมนั้น  ธนาคารได้มีการออกผลิตภัณฑ์ที่จะรองรับการเดินบัญชีผ่านระบบธนาคารได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้กลุ่มลูกค้าที่ต้องการขยายกิจการนั้นถือเป็นกลุ่มลูกค้าที่ธนาคารได้เป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้แก่กิจการของลูกค้ามาโดยตลอด ซึ่งธนาคารพร้อมให้การสนับสนุนเงินทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของสินเชื่อหมุนเวียนและสินเชื่อระยะยาว โดยธนาคารจะเน้นธุรกิจกลุ่มอุปโภคบริโภคเป็นหลัก