คุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาฯสภาพัฒน์ ยอมรับกังวลต่อความตื่นตัวของผู้ประกอบการไทยก่อนเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปลายปีหน้า ห่วงทุนนอกรุกราน SME ไทย กระตุ้นภาครัฐยื่นมือช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจแข่งได้

สมาชิก 10 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะรวมกลุ่มกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในช่วงปลายปี 2015 โดยตั้งเป้าหมายเป็นตลาดเดียว (Single Market) และฐานผลิตเดียวกัน รวมถึงยกเลิกกำแพงภาษีและอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศสมาชิก แม้หลายฝ่ายจะมองตรงกันว่าปี 2015 เป็นแค่จุดเริ่มต้นของอาเซียน แต่ก็นับเป็นหมุดหมายที่สำคัญยิ่งต่อกระบวนการ ASEAN Integration

ทั้งนี้ภาครัฐและภาคเอกชนในทุกระดับจำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด เพราะ AEC นับเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่จะส่งผลกระทบต่อเนื่องในวงกว้าง 

ในเวลาอีกแค่เพียงปีกว่าก่อนการรวมกลุ่มเป็น AEC คุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ยอมรับว่าเป็นกังวลต่อความตื่นตัวของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอี

“บางทีเราก็อยู่อย่างสบายๆ ไม่ค่อยรู้ว่าความเดือดร้อนกำลังจะมา เพราะอย่าลืมประเด็นเรื่อง “ทุน” ทุกประเทศเป็นทุนนิยมหมด แม้ประเทศสังคมนิยมเดิมก็ใช้ระบบทุนนิยม ซึ่งถ้าเทียบกันแล้วในเรื่องของทุนเราอาจจะสู้เขาไม่ได้ ก็เป็นประเด็นว่าถ้าผู้ประกอบการมัวเฉย หรือภาครัฐไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยในการสร้างความเข้มแข็งหรือกลไกในเรื่อง Soft loan ให้ผู้ประกอบการขยายธุรกิจ ก็จะเป็นปัญหาในอนาคตว่าเอสเอ็มอีของไทยก็จะถูกรุกรานไปด้วย” คุณอาคม กล่าว

เวลากล่าวถึงนิยามของเอสเอ็มอี คุณอาคมย้ำว่าเอสเอ็มอีไม่ใช่ร้านห้องแถว เพราะเอสเอ็มอีของต่างประเทศเทียบเท่ากับบริษัทขนาดใหญ่ของไทย ถ้ามองประเทศญี่ปุ่น เอสเอ็มอีญี่ปุ่นเท่ากับโรงงานขนาดใหญ่ของไทย

“โจทย์อยู่ที่ว่าจะสร้างเอสเอ็มอีของประเทศให้แข่งได้อย่างไร แล้วก็ไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน นี่คือสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นกังวล” คุณอาคมกล่าว

เลขาฯสภาพัฒน์ กล่าวเสริมอีกว่า ผู้ประกอบการของไทยยังยึดติดอยู่กับบ้านตัวเอง แม้รู้ดีว่าประตูกำลังจะเปิด แต่ไม่กล้าออกนอกประตู อาจเพราะปัญหาเรื่องภาษาและการเข้าใจวัฒนธรรม เพราะไปอยู่บ้านคนอื่นก็ไม่รู้ว่าจะคุมคนงานได้หรือไม่

“แต่จริงๆเรื่องพวกนี้ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะว่าในระดับคนงานไทย ทักษะได้พัฒนาขึ้นมาเป็นระดับ Supervisor ขอให้มีคนที่ไว้ใจได้และสื่อสารกับเราได้ อย่างโรงงานยางรถมอเตอร์ไซค์ก็มีไปทำที่เวียดนาม ก็ใช้คนงานเวียดนาม แต่หัวหน้าคนงานคือคนไทย ประเด็นก็คือว่าต้องไปศึกษาว่าวัฒนธรรมการทำงานของคนเวียดนามเป็นอย่างไร เพราะคนเวียดนามอาจจะขยันจริง แต่ก็มีลักษณะที่เรียกว่าฉลาด ก็ต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้และคุมให้อยู่ หรือไปทำธุรกิจในลาว คนงานก็สบายๆ อัตราการเข้าออกงานจะสูง ก็ต้องเข้าใจตรงนี้” คุณอาคม อธิบาย

สำหรับภาพใหญ่ของประเทศไทยในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปลายปีหน้า คุณอาคม กล่าวว่า ประเด็นหลักอยู่ที่การเชื่อมโยงและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งเรื่องท่าเรือและรถไฟที่จะเชื่อมโยงกันในอาเซียน สอง การเปิดเสรีเรื่องการลงทุน สาม กฎกติกาในเรื่องการนำเข้าแรงงาน ซึ่งปัจจุบันจำกัดอยู่ที่ 8 สาขาอาชีพ (การเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมือ 8 สาขาอย่างเสรีในอาเซียน ได้แก่ อาชีพวิศวกร, พยาบาล, สถาปนิก, การสำรวจ, นักบัญชี, ทันตแทพย์, แพทย์ และการท่องเที่ยวและบริการ) แต่ในอนาคตต้องดูว่าแรงงานประเภทกึ่งฝีมือกับไร้ฝีมือจะทำอย่างไร

                               “วันนี้เราไปโฟกัสที่ Skilled labor แต่แรงกดดันเรื่อง Unskilled labor จะสูงขึ้น”

ประเด็นต่อมาเป็นเรื่องกฎหมายการคุ้มครอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคและการคุ้มครองทางสังคม ต้องปรับให้เท่ากัน เพราะเมื่อแรงงานจากต่างประเทศมาทำงานในประเทศไทย ก็ต้องได้รับความคุ้มครองเท่าเทียมกันด้วย

 ขอบคุณรูปจากเว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ