วันศุกร์, พฤษภาคม 17, 2567

SILVERCUT ร้านตัดผมสุดฮิต กลางตลาดนัด

by Smart SME, 30 มีนาคม 2558

เมือพูดถึงร้านตัดผม ภาพจำสำหรับใครหลายคนก็คงหนีไม่พ้นร้านที่อยู่ตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตามหมู่บ้านหรือห้างสรรพสินค้า แต่ร้าน The Silvercut  Shop จะทำให้ภาพในความคิดของหลายๆคนเปลี่ยนไป เพราะร้านนี้เป็นร้านตัดผมที่ตั้งอยู่ในตลาดนัด แถมยังมีคนมาต่อคิวใช้บริการยาวอย่างกับร้านบุฟเฟต์

The Silvercut  Shop ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา พร้อมกับเทรนด์ทรงผมผู้ชายแบบวินเทจ ซึ่งเริ่มฮิตมาจากกลุ่มศิลปิน ดารา ประมาณ 2 ปีก่อน โดยคุณศักดิ์ศิริ  จุลกะเศียน, คุณณัฐวุฒิ  หาญนรงค์, คุณจิรายุ  ขอบุญ และคุณเบญญาดา  กรุมินทารักษ์ คือผู้ที่ร่วมกันก่อตั้งร้านตัดผมสไตล์วิเทจขึ้นมา โดยทุกคนต่างบอกว่าที่ชอบทรงผมสไตล์นี้เพราะมันดูดี เนียบ  เทห์  ไม่กระเซอะกระเซิง แต่พอไปตัดที่ร้าน กลับไม่ได้ดั่งใจ ตัดออกมาแล้วไม่เหมือนแบบที่ต้องการ เลยตัดสินใจไปเรียนตัดผมเอง แล้วมาเปิดร้านตัดผม เพราะคิดว่าคงมีอีกหลายคนที่อยากตัดทรงนี้ แล้วยังไม่เจอร้านที่โดนใจ

สำหรับแรงบันดาลใจในการเปิดร้าน คุณศักดิ์ศิริ  จุลกะเศียน บอกว่า “มันดูเป็นสิ่งที่พลังมากๆ เพราะยอมลงทุนลาออกจากงานประจำ และเงินเดือนกว่า 6 หมื่นบาท เพื่อไปเรียนตัดผมทรงวินเทจ ซึ่งใช้เวลาเรียนอยู่ประมาณเดือนครึ่ง แต่เพื่อให้เรียนลึกลงไปอีก เลยไปเรียนตัดผมทรงวินเทจที่ฝรั่งเศสต่ออีก 5 เดือน พร้อมๆกับการศึกษาจากหนังสือ และเรียนจากยูทูป แล้วลองทำตามดู โดยใช้เวลาไปกว่าครึ่งปี ในการศึกษาทรงผมแนววินเทจ โดยที่ไม่มีงานทำ แล้วยังมองไม่เห็นเลยว่าอนาคตจะเดินไปทางทิศไหน  แต่ก็ไม่กลัว เพราะตัดสินใจแล้ว ก็ต้องทำให้ถึงที่สุด” คุณศักดิ์ศิริ กล่าว

ตอนนั้นทุนที่จะมาเปิดร้านก็มีไม่เยอะ บวกกับช่องทางในตลาดระดับล่างก็ยังพอมีอยู่ เลยเลือกทำเลในการตั้งร้านที่ ตลาดนัดสวนรถไฟ เพราะเป็นตลาดนัดกลางคืน โดยจะเป็นที่รวมตัวของกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน  ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของทางร้านอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะเป็นตลาดนัด แต่คนที่มาเดินก็มีกำลังทรัพย์ และต้องการแต่ของดีๆเท่านั้น  ทำให้เป็นที่มาในการตั้งราคาของทางร้านที่ว่า ตลาดล่าง  ราคาห้าง โดยมีราคาหัวละ 250 บาท ถึงแม่ล้ว่าอุปกรณ์จะไม่ได้มีครบเหมือนอย่างในห้าง

ในวันเปิดร้านวันแรก ก็เหมือนกับเป็นการวัดใจตั้งแต่วินาทีแรก เพราะคนที่เดินผ่านไปมาจะหันมามอง แต่ไม่มีคนเข้าร้าน แต่แล้วจู่ๆ ก็มีลูกค้าคนแรกเดินเข้ามาในร้าน  ก็มีคนเข้ามามุงดูเยอะมาก แล้วพอตัดผมให้คนแรกเสร็จ ปรากฏว่ามีลูกค้ามาเข้าคิวรอตัดผมเป็นจำนวนมาก  และก็ได้แต่คิดว่าคนจะเยอะแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน  แต่ผลตอบรับกลับเกินคาด เพราะตั้งแต่เปิดร้านมา 1 ปี โดยที่ตลาดนัดจะเปิดเฉพาะวันศุกร์ – เสาร์ – อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 1 ทุ่ม จนถึง 1.30 น. จะมีลูกค้ามาประมาณ 30 คน แต่ไม่ใช่แค่นี้  เพราะในร้านมีช่างเพียง 3 คน ซึ่งมีกำลังในการรับลูกค้าได้เท่านี้  ทำให้ลูกค้าบางรายต้องจองคิวข้ามวันกันเลยก็มี

ใช้เวลาเพียง 7 เดือน  ก็สามารถขยายสาขาได้ถึง 3 สาขา ได้แก่ ตลาดนัดสวนรถไฟศรีนครินทร์  ตลาดนัดรถไฟรัชดา และหน้าร้านที่รามคำแหง  ซึ่งดูเหมือนว่าตั้งแต่เปิดร้านมาก็ดูไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่พวกเขาบอกว่า ในช่วงหน้าฝนประมาณ 2 -3 เดือน จะเปิดร้านไม่ได้ เลยเป็นเหตุผลที่พวกเขาขยายมาเปิดหน้าร้าน  เพื่อดึงลูกค้าเข้าร้านในช่วงหน้าฝน แต่ก็ต้องทำใจไว้ก่อนเลย เพราะรายได้จะลดลง 30 – 40 เปอร์เซ็นต์  แล้วปัญหาอีก 1 อย่างของร้านตัดผมสไตล์วินเทจ ก็คือ ช่างที่ตัดผมสไตล์วินเทจ ที่หายากมาก มีคนบอกว่ามีคนไปเรียน 10 คน แต่จบออกมาจริงๆมีแค่ 2 คนเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็กลับไปตัดทรงเดิมๆกันหมด  เพราะเป็นทรงที่ตัดยากและต้องใช้ความละเอียดในการตัดมาก ทางร้านเลยพยายามฝึกช่างขึ้นมา และรักษาเอาไว้ให้ได้

พวกเขาบอกว่า คนที่อยู่กับพวกเขาจะไม่มีใครไปไหน เพราะอยู่กันแบบครอบครัว ช่วยเหลือกันทุกอย่าง เลยมั่นใจว่าไม่มีร้านไหนให้มากเท่าพวกเขาแล้ว เพราะสิ่งที่พวกเขาให้คือใจ ไม่ใช่เงิน  ส่วนรายได้ของช่างตัดผมในร้านจะให้ 40 เปอร์เซ็นต์ ของราคา แต่ถ้าไม่มีฝีมือในการตัดแนววินเทจก็จะสอนให้และมีเคืองมือให้พร้อม โดยที่ช่างไม่ต้องเตรียมอะไรมาเลย

ต้นทุนของร้านก็จะมีค่าเช้าที่ของตลาดนัดรถไฟ คืนละ 400 บาท นอกจากนี้ยังมีค่าไฟ  ค่าลูกจ้าง  ค่าอุปกรณ์ ค่าผลิตภัณฑ์  เพราะถึงแม้ว่าร้านจะตั้งอยู่ในตลาดนัด แต่ของที่นำมาใช้กับลุกค้า เป็นของที่มีคุณภาพทั้งสิ้น เช่น แว็กซ์เคลือบเงาผม จะใช้แต่ของนำเข้า กระปุกละ 4 พันบาท หลายคนอาจจะมองว่าลงทุนแบบนี้ต้องใช้เงินหลักแสนกันเลยทีเดียว แต่พวกเขาบอกว่าเริ่มต้นจากใช้ช่างสัก 2 คน อุปกรณ์ไม่ต้องดีมากก็ได้ เพราะครั้งแรกพวกเขาก็ใช้เงินลงทุนเพียง 6 พันบาท และสามารถคืนทุนได้ภายในเวลา 2 วัน

หนทางในการทำธุรกิจคงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลายเสมอไป  แม้ว้าต้นทุนจะมีไม่มาก แต่สิ่งที่ทุกคนมีคือฝีมือบวกกับบทเรียนมากมายที่ได้จากการทำธุรกิจ คงทำให้หนทางแห่งความสำเร็จเกิดขึ้นได้ไม่ยากอย่างแน่นอน  แถมพวกเขายังได้แย้มบอกอีกว่า ทุกวันนี้กระแสทรงผมแนววินเทจ  ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งลูกค้าก็ไม่ได้มีเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นเท่านั้น  แต่ยังมีทุกวัย ไปจนถึงวัยเกษียณก็ยังมาตัดที่ร้าน ดังนั้นทางร้านจึงมีลูกค้า ทั้งเก่าและใหม่แวะเวียนเข้ามาเสมอ จนทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง  แต่ถ้าหากเมื่อไรที่ทรงผมแนววินเทจเริ่มหมดความนิยม ทางร้านก็ยินดีที่จะปรับไปตัดผมทรงอื่นที่เป็นที่นิยม เพราะมีพื้นฐานอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ต่อยอดธุรกิจไปเรื่อยๆ

สุดท้ายพวกเขาก็ได้ทิ้งท้ายถึงหัวใจในการทำธุรกิจ ตามแบบฉบับของ Silvercut เอาไว้ว่า ใจ ต้องมาก่อน ไม่ใช่แค่รักในการทำธุรกิจเท่านั้น เพราะในการทำงานจริงๆ ต้องใช้ใจทำสุดๆ และเต็มที่กับลูกค้า ไม่ใช้ว่าเห็นคิวยาว เลยต้องรีบทำให้เสร็จๆ  แต่ต้องทำให้ดีที่สุด ชิดนิดที่เรียกได้ว่า ได้ดั่งใจช่างเมื่อไร่ ลูกค้าถึงจะออกจากร้านได้ เพราะสิ่งสำคัญคือ ต้องให้ความสบายใจกับลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการที่ร้านอีกครั้ง

 


Mostview

คนไทย 30% ไม่มีเงินเก็บสำหรับการเกษียณ และ 60% มีเงินเก็บไม่ถึง 200,000 บาท

ภายในงาน KKP Financial Talk: Money Master #เรื่องเงินอย่าปล่อยให้รู้งี้ ซึ่งมีการพูดถึงปัญหาและคำแนะนำให้กับ Sandwich Generation ผู้แบกภาระการดูแลทั้งคนรุ่นก่อน และรุ่นหลังไว้ ในขณะที่เศรษฐกิจไม่เกื้อหนุนให้พวกเขาได้สบายขึ้น

กล้าพอไหม! Airbnb เปิดให้เข้าพักบ้านลอยฟ้า มีลูกโป่งกว่า 8,000 ใบ โยงติดอยู่บนหลังคา

หากอยากจะทำอะไรตื่นเต้นต้องมาทางนี้ เมื่อ Airbnb แพลตฟอร์มจองที่พักได้เปิดตัวโปรเจคต์ “Icon” เพื่อสร้างประสบการณ์พักผ่อนให้กับลูกค้า เปลี่ยนสิ่งที่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ให้กลายเป็นความจริง

ซีพีออลล์ ทำรายได้ไตรมาส 1/2567 รวม 241,307 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6,319 ล้านบาท

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการในไตรมาส 1/2567 พบว่าบริษัทมีรายได้รวม 241,307 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 6,319 ล้านบาท

SmartSME Line