วันพุธ, พฤษภาคม 15, 2567

ทำงานทั้งวันได้ ๑๕๐๐ เดินไปเดินมาได้ ๕๐๐๐

by Smart SME, 22 มิถุนายน 2558

                   ทำงานทั้งวันได้ ๑๕๐๐ เดินไปเดินมาได้ ๕๐๐๐

 

สุขุม นวลสกุล

 

               อย่านึกนะครับว่า วลีข้างบนที่ว่า “ทำงานทั้งวันได้ ๑๕๐๐ เดินไปเดินมาได้ ๕๐๐๐”  เป็นการยกย่องการทำงานของหัวหน้าว่ามีคุณค่ากว่าการทำงานของลูกน้อง  จึงสมควรได้รับเงินค่าแรงหรือค่าตอบแทนมากกว่าคนที่เป็นลูกน้อง แต่จริง ๆ  แล้วเป็นการเสียดสีคนเป็นหัวหน้าว่า  วัน ๆ ไม่เห็นทำอะไรสักเท่าไหร่เลยเอาแต่เดินไปเดินมา  แต่กลับได้เงินตอบแทนสูงกว่า  เป็นความไม่เป็นธรรมในการทำงานชัดเจนมาก

               ถ้าพิจารณาอย่างผิวเผิน  หลายคนคงเห็นด้วย  เพราะภาพที่มองเห็นเป็นอย่างนั้นจริง ๆ

               ว่าไปแล้ว  วลีที่เป็นชื่อเรื่องก็น่าจะเป็นอย่างนั้นจริง คือใครที่เป็นลูกน้องเขาก็คงต้องนั่งก้มหน้าก้มตาทำงาน ส่วนคนที่เป็นหัวหน้ามักต้องเป็นฝ่ายเดินไปเดินมา  แต่การเดินไปเดินมาของหัวหน้าไม่ใช่เป็นการเดินเล่นลอยชายไปมา และไม่ใช่เป็นการเดินออกกำลังเพื่อสุขภาพพลานามัย

               แต่การเดินไปเดินมาของคนระดับหัวหน้าหรือนักบริหารเป็นการเดินเพื่อดูแลการทำงานของลูกน้อง  เดินเพื่อให้การทำงานของลูกน้องมีประสิทธิภาพ

               เพราะฉะนั้นคนเป็นหัวหน้าต้องเดินใช้สายตาสอดส่ายดูแลลูกน้องให้ทำงานให้ได้ถูกต้องตามมาตรฐาน  ไม่ใช่เดินแบบ “เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ เอาใจออกนอกโรงงาน”   เพราะความรับผิดชอบของหัวหน้าคือต้องควบคุมดูแลลูกน้องให้ทำงานให้ได้ประสิทธิผล

               ความรับผิดขอบของหัวหน้าคือเป็นเสมือนตัวแทนขององค์กรคอยดูแลพนักงานให้ทำงานให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น

               การเดินไปเดินมาของหัวหน้าเป็นการควบคุมการทำงานของลูกน้องอย่างหนึ่ง  ที่ผมยืนยันว่าเป็นวิธีการบริหารที่มีประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง  เพราะผมใช้เป็นประจำในขณะทำงานบริหารอยู่  ใช้แล้วทำให้ลูกน้องทำงานร่วมกันมีประสิทธิภาพ

               ผมจำได้ว่า  สมัยที่เป็นอาจารย์ชั้นผู้น้อย  เวลาถูกมอบหมายให้ทำงานร่วมกับอาจารย์หลายท่าน  บางครั้งก็มีปัญหาที่ไม่น่าจะเป็นปัญหา  จะว่าเป็นปัญหาเล็กก็ไม่ใช่ จะยกระดับเป็นปัญหาใหญ่ก็ไม่เชิง  เอาเป็นว่าเป็นปัญหาที่ทำให้ความสัมพันธ์ในการทำงานระหว่างอาจารย์กระทบกระเทือนก็แล้วกัน

               อย่างเช่น คณบดีมอบหมายให้อาจารย์กลุ่มหนึ่งประมาณ  ๓ – ๔ คนเข้าเวรรับลงทะเบียนนักศึกษาระหว่างเวลา ๘.๓๐ – ๑๕.๓๐ น.   ปรากฏว่าพวกอาจารย์ที่เข้าเวรทำงานไม่เท่าเทียมกัน  บางคนก็เป็นคนตรงเวลามาเข้าเวร  ๘.๓๐  บางคนก็มาสายกว่าคนอื่น ๙ โมงบ้าง  ๙ โมงกว่า ๆ ก็มี  แต่ไม่มีปัญหาทำให้งานเสียหายหรอกเพราะนักศึกษาที่มาลงทะเบียนตอนเช้า ๆ นั้นไม่ค่อยมาก  มักจะชุกชุมช่วงตอนเกือบ ๑๐ โมงเป็นต้นไป  ซึ่งช่วงนั้นอาจารย์มักมากันครบครัน

               ช่วงที่นักศึกษามาลงทะเบียนกันแน่นมักเป็นระหว่างเกือบ ๑๐ โมงจนถึงเกือบบ่าย ๓   พอบ่าย ๓ เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงจะหมดเวลาคือบ่าย ๓ โมงครึ่ง   ดังนั้นพอบ่าย ๓  อาจารย์บางท่านก็มักจะสวมวิญญาณนินจาหายแว๊บไป  เหลืออาจารย์อยู่ไม่กี่คน  ซึ่งก็ไม่มีปัญหาในเรื่องงานเพราะนักศึกษาเหลือไม่มาก

               ปัญหามันอยู่ที่อาจารย์ที่มาสายแต่กลับก่อนนี่มักจะเป็นอาจารย์คนเดิม ๆ  ประเภทความประพฤติ  “ถึงฉันจะมาสาย แต่ฉันก็กลับก่อนนะ”  จะบอกให้  แค่วันสองวันก็คงไม่เป็นไรเพราะนิสัยคนไทยนี่ “ขอกันกิน” นิดหน่อย  ไม่ว่ากันอยู่แล้ว  แต่พอทำบ่อยเข้า  คนที่รับผิดชอบทำงานเต็มที่มาตรงเวลาไม่เคยกลับก่อนเวลาก็ชักไม่พอใจ  มีการพูดจากระทบกระแทกหรือแสดงอาการไม่พอใจให้เห็น  แต่พวกที่เอาเปรียบเพื่อนร่วมงานมักจะไม่ค่อยรับรู้หรืออาจจะรู้แต่ทำเป็นไม่สำเหนียก  เรียกว่ารู้มากเอาเปรียบผู้อื่น

               ผมจดจำเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยผมเป็นอาจารย์ใหม่ ๆ  ดังนั้นวันหนึ่งเมื่อผมได้ขึ้นเป็นคณบดีของคณะ  มีหน้าที่จัดอาจารย์ให้ผลัดกันอยู่เวร   ผมก็พยายามทำให้อาจารย์ที่เข้าเวรทำงานเต็มที่โดยเท่าเทียมกัน จะได้ไม่มีปัญหาในการทำงานร่วมกัน

               วิธีของผมก็คือผมยอมเหนื่อยด้วยการเดินมาห้องลงทะเบียนทุกวันตั้งแต่  ๘.๓๐  พูดง่าย ๆ ก็คือเหมือนกับมาเปิดห้องลงทะเบียนด้วยตนเองนั่นแหละครับ  และผมพบว่านักศึกษาสมัยหลังก็เหมือนสมัยแรกคือ ไม่นิยมมาลงทะเบียนตอนเช้า ๆ   ผมไปห้องทะเบียนทีไรนักศึกษามากันโหรงเหรงไม่กี่คนเพราะยังเช้าอยู่   แต่อาจารย์ที่ผมมอบหมายให้อยู่เวรมักจะมากันครบครัน  หรือบางคนอาจจะสายบ้างแต่ไม่กี่นาทีหรอกครับ   ผมก็ทักคนนั้นคนนี่เมื่อเห็นมาครบกันแล้วก็ค่อยปลีกตัวไปทำงานอื่น

               แต่ไม่ว่างานจะติดพันแค่ไหน  พอได้เวลาประมาณ บ่าย ๓ เศษ ๆ   ผมก็จะเดินทอดน่องไปห้องลงทะเบียนอีกครั้ง  โผล่เข้าห้องก็มักจะพบอาจารย์ที่เข้าเวรอยู่กันพร้อมหน้า ไม่ค่อยจะมีใครปลีกวิเวกหายไปเหมือนสมัยที่ผมเป็นอาจารย์เข้าเวร   ผมก็พูดจาถามไถ่แบบให้เขาคิดว่าเรามาด้วยความเป็นห่วง ไม่ใช่มาเพื่อจับผิด  เช่น “เหนื่อยไหม”  “วันนี้นักศึกษาเยอะหรือเปล่า”  อะไรทำนองนี้

               เรื่องต้องการให้อาจารย์ไม่หนีเวรนี่   ถ้าเราจะใช้อำนาจ เช่น ขู่ว่าถ้าใครมาสายหรือกลับก่อนจะลงโทษ  ก็อาจจะมีอาจารย์บางคนลองดี ทำสิ่งที่เราห้าม เพื่อดูว่าเราจะกล้าลงโทษเขาไหม  ซึ่งถ้าเราลงโทษก็อาจจะถูกโจมตีหรือนินทาว่า เหี้ยมโหดหรือทำเกินกว่าเหตุ  เพราะอาจารย์จะขาดหายไปบ้างงานก็ไม่เสียหายอะไรเพราะอาจารย์ที่เหลืออยู่ในเวรก็รับมือนักศึกษาที่มาลงทะเบียนได้ไม่เห็นมีปัญหาอะไร    แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยเลย ก็อาจมีปัญหาระหว่างอาจารย์หรือไม่ก็อาจถูกมองว่า  ไม่ดูแลแก้ปัญหา

               ผมก็เลยใช้วิธี  “เดินไป  เดินมา “ บริหาร  โชคดีที่อาจารย์ทั้งหลายเขามีความเกรงใจในตัวผม  วิธีนี้จึงช่วยให้ผมสามารถทำให้อาจารย์มาลงทะเบียนกันอย่างพร้อมเพรียงกัน

               ผมขอเสนอแนะนะครับ    ที่ทำงานไหนที่พนักงานมักมาทำงานสาย   หัวหน้าลองใช้วิธี  พอถึงเวลาเข้างาน  ก็“เดินไป เดินมา” ในบริเวณที่ทำงาน   ผมมั่นใจเลยว่าคนจะมาทำงานกันคึกคักพร้อมเพรียงกัน  เพราะคงไม่มีคนทำงานคนไหนที่อยากให้คนเป็นหัวหน้าเห็นเป็นคนมาทำงานสาย   แน่นอนครับ  หัวหน้าที่จะใช้วิธีได้ต้องเป็นคนที่มาทำงานเช้าก่อนหรือตรงเวลา

               ถ้าหัวหน้าเป็นคนมาสายก็คงใช้วิธีนี้ไม่ได้  เพราะมาหลังคนอื่นเขาแล้วดันไปถามว่า “เมื่อเช้า ใครมาสายบ้าง”   ก็อาจจะโดนคนที่มาก่อนแล้วชี้มือพร้อมเพรียงกันมาที่หัวหน้าแล้วพูดเหมือนกันว่า “มึง เอ๊ย.....หัวหน้านั่นแหละ”

               จากตัวอย่างที่ผมยกมาสาธิต  ท่านผู้อ่านคงเห็นด้วยนะครับว่า  วลีที่ว่า “ทำงานทั้งวันได้ ๑๕๐๐  เดินไปเดินมาได้ ๕๐๐๐”   เป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว

                               

 

 

                                                                                                                         

 

                                                                                         

 


Mostview

4 สิ่งของคนเลี้ยงลูกประสบความสำเร็จไม่เคยสอนตอนเมื่อลูกยังเล็ก

ครอบครัวถือเป็นสถาบันหลักสำคัญในการสั่งสอนลูกว่าจะเป็นคนอย่างไร โดยช่วงเวลาที่ผ่านมาเราได้ยินว่าควรทำอย่างไรกับลูกของเรา และเรื่องไหนที่ไม่ควรทำกับลูกของเรา

แม็คโคร-โลตัส ไตรมาสแรกปี 2567 ทำรายได้รวม 127,020 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,481 ล้านบาท

บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT เผยผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/67 พบว่ามียอดรายได้รวม 127,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน มีกำไรสุทธิ 2,481 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน

เกษตรกรเวียดนามไม่ทนหันปลูกทุเรียนส่งออกจีนแทนปลูกกาแฟที่ขาดแคลน แถมราคาถูกกว่า

ราคากาแฟโรบัสต้าทั่วโลกพุ่งแตะระดับสูงสุดเมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยเวียดนามซึ่งเป็นผู้ผลิตเมล็ดกาแฟรายใหญ่ที่สุด กำลังต่อสู้กับภัยแล้ง รวมถึงเกษตรกรได้เปลี่ยนมาปลูกทุเรียนแทน

4 เดือนแรกปี 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยกว่า 12 ล้านคน สร้างรายได้ 583,902 ล้านบาท

ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เผยตัวเลขสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 4 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย.) ของปี 2567 พบว่ามีจำนวนสะสม 12,127,447 ล้านบาท เติบโต 39% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว และสร้างรายได้ 583,902 ล้านบาท

SmartSME Line