สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม (http://fic.nfi.or.th/) ได้เปิดเผยผลสำรวจสินค้าอาหารส่งออกไทยปี 2558 จากจำนวนสินค้าหลัก 8 รายการ ประกอบด้วย ข้าว น้ำตาลทราย ไก่ กุ้ง ปลาทูน่ากระป๋อง สับปะรดกระป๋อง แป้งมันสำปะหลัง และเครื่องปรุงรส พบว่า
- สินค้าส่งออกที่มีปริมาณและมูลค่าส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นมี 3 กลุ่ม คือ น้ำตาลทราย ไก่ และเครื่องปรุงรส
- สินค้าส่งออกที่มีปริมาณขยายตัวเพิ่มขึ้นแต่มูลค่าลดลง คือ กุ้ง สาเหตุเพราะราคากุ้งตกต่ำ
- สินค้าที่มีปริมาณส่งออกลดลงแต่มูลค่าเพิ่มขึ้น คือ สับปะรดกระป๋อง และแป้งมันสำปะหลัง
- สินค้าส่งออกที่มีปริมาณและมูลค่าหดตัวลดลง คือ ข้าว และปลาทูน่ากระป๋อง
ขณะเดียวกัน ตลาดส่งออกสินค้าอาหารของไทยปี 2558 นั้น ระบุว่า ตลาดอาหารของไทยร้อยละ 59.8 อยู่ในเอเชีย รองลงมาได้แก่ กลุ่มประเทศในอเมริกาเหนือ 13.2 % ยุโรป 11.7% และแอฟริกา 10.7 % ส่วนตลาดในโอเชียเนีย และอเมริกาใต้มีสัดส่วนส่งออกค่อนข้างน้อย โดยตลาดในเอเชียที่สำคัญ ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น 14.0 % ซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยในปัจจุบัน รองลงมา ได้แก่ กลุ่มประเทศ CLMV 13.7 % อาเซียนเดิม 11.6% จีน 8.6% ตะวันออกกลาง 4.0% ขณะที่ตลาดอาหารในกลุ่มประเทศอเมริกาเหนือส่วนใหญ่ คือ สหรัฐฯ 11.3% และแคนาดา 1.9%
จากผลสำรวจดังกล่าว สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม ได้เปิดเผยถึงแนวโน้มส่งออกอาหารไทยปี 2559 โดยคาดว่าจะมีมูลค่า 950,000 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 โดยมีหลายปัจจัยสนับสนุนจากแผนงานและโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ รวมถึงการกระตุ้นการลงทุนของภาครัฐ เงินบาทอ่อนค่าเทียบกับเงินสกุลหลัก ต้นทุนการผลิตและการขนส่งลดลงตามราคาน้ำมันและวัตถุดิบนำเข้า เศรษฐกิจที่ขยายตัวจากการค้าและการลงทุนในกลุ่มประเทศ CLMV ส่งผลทำให้มีความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น
ส่วนปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าที่มีรายได้หลักจากการส่งออกน้ำมัน รวมทั้งสินค้าเกษตร ภัยแล้งทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรมีแนวโน้มลดลงกระทบต่อปริมาณวัตถุดิบของอุตสาหกรรมแปรรูป รายได้เกษตรลดลงจากปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำรวมทั้งภัยแล้ง รวมทั้งปัญหาแรงงานและการทำประมงผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ แนวโน้มการส่งออกสินค้าอาหารไทยในปี 2559 ในกลุ่มสินค้าหลักที่คาดว่าการส่งออกจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประกอบด้วย
- ไก่ เนื่องจากราคาวัตถุดิบอ่อนตัวตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกส่งผลดีต่อต้นทุนการผลิต รวมถึงประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะญี่ปุ่นมีความต้องการไก่จากไทยต่อเนื่อง เพราะยังไม่มั่นใจไก่จากจีน
- ปลาทูน่ากระป๋อง การส่งออกอาจเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในตลาดรองแถบแอฟริกาเหนือ ส่วนตลาดหลักในสหรัฐฯ และยุโรป การบริโภคยังชะลอตัว ขณะที่ปริมาณวัตถุดิบปลาที่จับก็ขยายตัวไม่มาก เนื่องจากราคายังไม่จูงใจ รวมทั้งหลายชาติเริ่มออกมาตรการเข้มงวดในการทำประมง
- กุ้ง ผลผลิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงประเทศคู่แข่งหลายประเทศ เช่น เวียดนาม อินเดีย กำลังประสบปัญหาโรคระบาด จึงเป็นโอกาสของไทยในการดึงส่วนแบ่งตลาดที่เสียไปกลับคืนมา แต่ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณวัตถุดิบกุ้งว่าจะสามารถเพาะเลี้ยงเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด โดยในเบื้องต้นคาดว่า ผลผลิตกุ้งไทยจะอยู่ที่ 3 แสนตัน คิดเป็นปริมาณเพียงครึ่งเดียวของระดับผลผลิตกุ้งที่ไทยเคยผลิตได้
- เครื่องปรุงรส สินค้าคุณภาพดีและมีเอกลักษณ์ รวมทั้งเป็นสินค้าที่มีภูมิคุ้มกันที่ดี เพราะมีตลาดกระจายอยู่ทั่วโลกโดยไม่ได้พึ่งพิงตลาดหนึ่งตลาดใดในสัดส่วนที่มากเกินไป
- สับปะรดกระป๋อง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากแรงจูงใจด้านราคา โดยในปี 2558 สับปะรดโรงงานมีราคาเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 10.30 บาทต่อกิโลกรัม สูงเป็นประวัติการณ์จากราคาเฉลี่ยในช่วง 20 ปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับ 3-4 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งปริมาณวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้การส่งออกขยายตัว
อย่างไรก็ตาม จากกลุ่มสินค้าที่คาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 5 ประเภทนั้น ก็มีอีก 3 ประเภทที่การส่งออกมีแนวโน้มลดลง เช่นกัน ประกอบด้วย
- ข้าว เนื่องจากภัยแล้งทำให้ผลผลิตข้าวนาปรังของไทยลดลง ทำให้ผู้ส่งออกขาดแคลนข้าวใหม่ในการส่งออก ขณะที่ฝั่งผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นประเทศกำลังพัฒนาในแถบแอฟริกาก็ยังประสบภาวะเศรษฐกิจทำให้กำลังซื้อชะลอตัว ประกอบกับตลาดข้าวอันดับ 1 ของไทยคือ ไนจีเรีย ตั้งกำแพงภาษีนำเข้าข้าวสูงถึงร้อยละ 60 รวมทั้งมีมาตรการเข้มงวดในการนำเงินดอลลาร์ออกนอกประเทศ ทำให้ผู้ซื้อขาดแคลนเงินดอลลาร์ในการชำระค่าข้าว ตลาดข้าวในแอฟริกาโดยเฉพาะไนจีเรียจึงชะลอตัว
- น้ำตาลทราย ผลกระทบจากภัยแล้งทำให้พื้นที่เก็บเกี่ยวอ้อยลดลง รวมทั้งภัยแล้งยังทำให้ระดับความหวานของอ้อยมีแนวโน้มลดลงตามไปด้วย ซึ่งจะมีผลต่อปริมาณและคุณภาพน้ำตาลที่จะผลิตได้
- แป้งมันสำปะหลัง ประสบปัญหาวัตถุดิบมีไม่เพียงพอกับความต้องการของโรงงาน ทำให้ในช่วงที่ผ่านมามีการนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้านมาแปรรูปมากขึ้น โดยเฉพาะจากประเทศกัมพูชา