ประเทศไทยเรียกได้ว่าเป็นประเทศที่มีประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในปี พ.ศ. 2564 เป็นปีที่ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเป็นทางการ ซึ่งอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุนั้นมาจากการที่ผู้คนมีอายุที่ยืนขึ้น ทำให้เราต้องกลับมาคิดวางแผนในการเก็บเงินออมเงินไว้ใช้ในยามเกษียณหรือหมดแรงทำงาน ซึ่งทางรัญบาลเองก็มีหลากหลายมาตรการส่งเสริมการออม นอกจากนี้สำหรับพนักงานบริษัทที่มีประกันสังคมยังจะได้รับสิทธิบำนาญหลังเกษียณอายุอีกด้วย นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับมนุษย์เงินเดือนเลยทีเดียว โดยตามระบบแล้วผู้ประกันตนจะได้รับบำนาญประมาณ 40-60% ของรายได้ขณะทำงาน หากมีอายุทำงานตามกลุ่มทั่วไป คือเริ่มทำงานประมาณอายุ 18-22 ปี และเกษียณอายุประมาณ 55-65 ปี อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนั้นมีการกำหนดเพดานค่าจ้างสำหรับระบบประกันสังคมไว้ที่ 15,000 บาททั้งขาเข้าและขาออก ซึ่งจะได้รับบำนาญ 50% คือ 7,500 บาท ถึงแม้ว่าบางคนจะมีเงินเดือนที่มากกว่า 15,000 บาทก็ตาม แต่ก็ได้เงินบำนาญสูงสุดที่ 7,500 บาทต่อเดือน โดยในแต่ละเดือนเราเสียเงินค่าประกันสังคมไปเดือนละ 750 บาททุกเดือน ซึ่งหลายๆคนสงสัยว่าเงินเหล่านี้จะได้รับสิทธิอะไรบ้าง ซึ่งเงิน 750 บาทนั้นเราหักเป็นเงินออมบำนาญเดือนละ 450 บาท ส่วนอีก 300 บาทนั้นจะเป็นค่ารักษาพยาบาล และสิทธิประโยชน์อื่นๆ รวมถึงกรณีว่างงาน เลี้ยงดูบุตร และประกันชีวิตอีกด้วย และเงินออมบำนาญ 450 บาทนั้นทางนายจ้างเรายังต้องสบทบเงินออมของเราไปอีก 1 เท่า รวมเป็น 900 บาทในแต่ละเดือน และทางกองทุนประกันสังคมจะนำเงินที่รวบรวมได้ทั้งหมดไปลงทุนในกองทุนขนาดใหญ่ ได้ดอกเบี้ยดี และค่อนข้างคงที่ มีความเสี่ยงตํ่า ซึ่งเมื่อคุณเกษียณอายุจะทำให้มีเงินก้อนใหญ่ไว้ใช้หลังเกษียณ โดยผู้ประกันตนสามารถเช็กยอดการออมได้จากแอพลิเคชั่น my SSO ซึ่งเงินจำนวนนี้ทางภาครัญเองต้องการที่จะดูแลประชาชนให้สามารถมีเงินไว้ใช้หลังเกษียณไปจนหมดอายุไข ซึ่งการทำประกันสังคมนั้นนอกซะจากทำให้เราออมเงินได้แล้วทางนายจ้างและภาครัฐยังสบทบเพิ่มให้เราอีกด้วย โดยผู้ประกันตนสามารถคำนวณเงินบำนาญชราภาพในเบื้องต้น อ่านรายละเอียดได้ที่นี่ หลักเกณฑ์ และ วิธีคำนวนเงินบำนาญชราภาพที่จะได้หลังเกษียณ จากประกันสังคม