ท่ามกลางภาวะการแข่งขันด้านการตลาดสูง ผุ้ประกอบการมีคู่ต่อสู้มากขึ้น ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ธุรกิจน้อยใหญ่ ต่างเข้าแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดมากมาย และธุรกิจที่มีศักยภาพมากเพียงพอจึงต้องหาช่องทางในการตลาดใหม่ ๆ
และเพื่อเปิดโอกาสในตนเองและช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดให้ได้มากที่สุด ช่องทางดังกล่าวคงหนีไม่พ้นการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ ซึ่งมีหลายเส้นทางคือ
เป็นการขยายตลาดโดยผ่านพ่อค้าคนกลางที่อยู่ในประเทศที่ต้องการส่งออก ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุน ทรัพยากรด้านบุคคล และผู้เป็นพ่อค้าคนกลางยังเป็นบุคคลที่มีความรู้ความเข้าใจในลักษณะทางการตลาด และพฤติกรรมมากกว่า เนื่องจากเป็นคนในพื้นที่โดยตรง แต่ผู้ประกอบการจะไม่มีอำนาจควบคุมแผนการตลาดของพ่อค้าคนกลางขายได้
เป็นวิธีที่ผู้ประกอบการต้องมีแผนกการขายอยู่ในต่างประเทศ โดยแผนกการขายต้องทำการหาลูกค้าภายในประเทศส่งออก หรือเรียกว่าตัวแทนการขายสินค้า วิธีนี้ผู้ประกอบการต้องแบกรับความเสี่ยงสูง แต่ผู้ประกอบการสามารถควบคุมแผนการตลาดให้เป็นไปตามนโยบายได้
การขยายธูรกิจในลักษณะนี้ผู้ประกอบการต้องทำสัญญาใบอนุญาติให้ โรงงานอื่นในประเทศที่ต้องการส่งออก สามารถผลิตสินค้าภายใต้ตราสินค้า และมีสิทธิบัตร เช่นกันทุกประการ โดยผู้ประกอบการจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบสัมปทาน การให้ใบอนุญาตินี้มีข้อดีคือลดความเสี่ยงของธุรกิจ และหากธุรกิจประสบความสำเร็จเมื่อหมดสัญญาแล้วผู้ประกอบการสามารเข้าไปลงทุนทำเองต่อได้
เป็นการให้สิทธิและส่วนการครอบครองการบริหารจัดการและการจัดจำหน่ายทั้งหมดในมือของผู้ที่ได้รับกรรมสิทธิ์โดยชอบธรรม แต่ผู้ได้รับอนุญาติจะไม่มีสิทธิในการเปลี่ยนแปลง ปรุบปรุง หรือแก้ไขใด ๆ เลย และหากธุรกิจประสบความสำเร็จเมื่อหมดสัญญาแล้วผู้ประกอบการสามารเข้าไปลงทุนทำเองต่อได้ เช่นเดียวกับการให้ใบอนุญาต
การขยายธุรกิจรูปแบบการจ้างผลิต สามารถลดต้นทุนการนำเข้าสินค้า ลดความเสี่ยงของอัตราการแลกเปลี่ยน และลดการกีดกันทางในการนำเข้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นการลงทุนในราคาที่ไม่สูง เป็นช่งทางที่น่าสนมากทีเดียว แต่ทั้งนี้ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึงคุณภาพและกระบวนการในการผลิตตามความตกลงในสัญญาเป็นสำคัญ
เป็นการลงทุนกับธุรกิจคู่ค้าเจ้าถิ่นในต่างประเทศ ซึ่งอยู่ในลักษณะการถือหุ้น ทั้งนี้การลงทุนประเภทนี้จะได้ธุรกิจที่ทราบพฤติกรรมผู้บริโภค และเข้าใจธรรมชาติทางการตลาดของประเทศนั้น ๆ แต่ผู้ประกอบการอาจไม่สามารถควบคุมนโยบายทางการตลาดได้ทั้งหมด เนื่องจากเป็นผู้ถือหุ้นร่วมเท่านั้น นอกจากธุรกิจดังกล่าวจะมีแนวทางนโยบายไปทางเดียวกันกับผู้ประกอบการ
ในการซื้อกิจการเป็นการขยายธุรกิจที่ผู้ประกอบการ จะสามารถเข้าไปควบคุมกิจการที่ถูกซื้อและทรัพยากรทั้งหมด ทั้งในด้านโรงงาน โครงสร้างการจัดจำหน่าย ตราสินค้า และบุคลากร แต่วิธีนี้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และมีความเสี่ยงในการควบคุมองกรค์ เนื่องจากการซื้อกิจการ คือต้องเข้าไปควบคุมบุคลากรเดิม ในองกรค์ที่มีอยู่แล้ว อาจเป็นปัญหาในการปรับตัวเข้ากัน
การเข้าไปลงทุนเองโดยตรงต้องใช้เงินในการลงทุนสูงมาก อีกทั้งมีความเสี่ยงเพราะเป็นการเข้าไปเปิดตลาดใหม่ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในด้านพื้นที่ วัฒนธรรม การเมือง สังคม และศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคมากพอสมควร อีกทั้งการเงินต้องมีสภาพคล่องสูงมาก เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการทำธุรกิจต่อไป