ครม.เห็นชอบกองทุน SSF หักลดหย่อนภาษีได้ร้อยละ 30 ไม่เกิน 2 แสนบาท ลงทุนหลักทรัพย์ทุกประเภท ไม่มีขั้นต่ำ ไม่ต้องซื้อต่อเนื่อง รองรับการออมคนรุ่นใหม่ เตรียมเปิดจำหน่าย ก.พ. 63 

นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการออมระยะยาว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการซื้อกองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund: SSF) (กองทุน SSF) เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนออมเงินระยะยาวมากขึ้น ส่งเสริมการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ในกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงรายได้น้อย และผู้ที่เริ่มต้นวัยทำงานได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ สอดรับกับสไตล์การทำงานของคนรุ่นใหม่ เพราะบางคนต้องการมีอาชีพอิสระ รายได้อาจปรับขึ้นลงในบางปี หวังจูงใจให้ประชาชนเริ่มต้นการออมระยะยาวโดยเร็ว จึงนำทดแทนการครบกำหนดของกองทุน LTF ในวันที่ 31 ธ.ค. 62

โดยกำหนดสิทธิ์ ทางภาษีสำหรับการซื้อกองทุน SSF ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อการออมระยะยาว และ จัดตั้งขึ้นใหม่ เปิดให้บุคคลธรรมดานำมาหักลดหย่อนภาษีเงิน จากเงินซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน SSF ไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุ (กองทุน RMF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ หรือเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ) แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท ในแต่ละปีภาษี

กองทุน SSF ลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท ไม่กำหนดจำนวนขั้นต่ำในการซื้อหน่วยลงทุน และไม่กำหนดเงื่อนไขในการซื้อต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เพราะบางปีไม่มีเงินซื้อ ไม่ต้องลงทุน มีเงินมากซื้อได้มาก มีเงินน้อยซื้อตามกำลังซื้อ มองว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่จะเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น เมื่อรวมกับกองทุนประเภทอื่น การลงทุนของประชาชนจะออมได้หลากหลาย เช่น ผู้มีเงินเดือน 15,000 บาท ซื้อกองทุนเพื่อออมเงินระยะยาว 108,000 บาทต่อปี กลุ่มเงินเดือน 50,000 บาท ลงทุนได้ 360,000 บาทต่อปี กลุ่มรายได้ 1 แสนบาทต่อเดือน ลงทุนได้ 5แสนบาทต่อปี ผู้ซื้อกองทุน SSF ขายคืนหน่วยลงทุนได้ เมื่อถือมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ สำหรับเงินได้จากการขายคืนหน่วยลงทุน SSF จะได้รับยกเว้นภาษี นำมาหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนใน SSF ได้ในช่วง 5 ปีแรก (2563 - 2567) หลังจากนั้น กระทรวงการคลังจะประเมินผลให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในอนาคต

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังได้ ปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการซื้อกองทุน RMF นำมาหักลดหย่อนภาษีจากซื้อหน่วยลงทุน จากเดิมไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน เพิ่มเป็นไม่เกินร้อยละ 30 โดยหักลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น (กองทุน SSF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ หรือเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ) เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนออมได้มากขึ้น

กระทรวงคลังยังยกเลิก กำหนดจำนวนขั้นต่ำในการซื้อกองทุน RMF จากเดิมต้องซื้อไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ของเงินได้พึงประเมิน หรือไม่น้อยกว่า 5,000 บาทต่อปี เปลี่ยนใหม่ แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า เพื่อให้ผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงน้อยสามารถซื้อกองทุน RMF โดยยังกำหนดให้ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี และไม่ระงับการซื้อเกิน 1 ปีติดต่อกันเช่นเดิม สำหรับการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ได้สิ้นสุดการหักลดหย่อนภาษี ในปี 62 ไปแล้ว แต่นักลงทุนจะยังคงซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน LTF ได้ โดยไม่ได้รับการลดหย่อนภาษีสำหรับการซื้อหน่วยลงทุนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 63 เป็นต้นไป

น.ส. รื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า หลังจากนี้เตรียมชี้แจงและประสานกับผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) เพื่อเปิดขายกองทุน SSF ในเดือนกุมภาพันธ์ 63 เพื่อให้ภาคเอกชนได้ทำการตลาด ดังนั้นเมื่อซื้อกองทุน SSF ในปี 63 จะนำไปหักลดหย่อนในต้นปี 64 ช่วงที่ผ่านมา กองทุนใหม่นับอายุการซื้อเพื่อหักลดหย่อนภาษีแบบ(วันชนวัน) จะไม่นับเป็นปีปฏิทิน ผู้ลงทุนใช้สิทธิ์หักลดหย่อนในช่วง 5 ปี แต่ต้องถือกองทุนระยะเวลา 10 ปี การหักลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในปี 61 มีผู้ยื่นหักลดหย่อนภาษี 4 แสนราย ยอดเงินขอคืน 10,000 ล้านบาท ผ่านกองทุน RMF จำนวน 2 แสนราย ยอดเงินขอคืนภาษี 6,000 ล้านบาท

นายอุตตม กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อส่งเสริมการใช้เงินผ่านกระเป๋า 2 ในโครงการ “ชิมช้อปใช้” ครม.เห็นชอบให้ยกเว้นภาษีจากการใช้จ่ายเมื่อได้รับส่วนลดจากรัฐบาล กระทรวงการคลังยังเตรียมแจกของขวัญปีใหม่ผ่าน “ชิมช้อปใช้” คาดว่าจะออกมาตรการได้ในเร็วๆนี้ เพื่อต่อยอดโครงการและส่งเสริมให้ประชาชนใช้เงินผ่าน “แอ็ปเป๋าตัง”