วันพุธ, พฤษภาคม 8, 2567

วิกฤตโควิด-19 ไม่แผ่ว จับตากลุ่มธุรกิจ "ตัดใจไม่ไปต่อ" รายย่อยอ่วมหนักสุด

by Nanyarath Niyompong, 27 พฤษภาคม 2564

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ใหญ่ และยืดเยื้อกว่าเดิมที่เริ่มต้นอีกครั้งในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ยังคงเป็นความเปราะบางในทุก ๆ ด้านของประเทศ โดยเฉพาะเศรษฐกิจ ธุรกิจที่ขับเคลื่อนไปได้อย่างยากลำบาก ไม่ใช่แค่ประเทศไทย แต่ยังเป็นอุปสรรคที่ทั่วโลกต้องเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ครั้งนี้ และไม่รู้ว่าเหตุการณ์จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน หรือเมื่อไหร่

โดยเฉพาะธุรกิจรายย่อย สายป่านสั้น อาจจำเป็นต้องตัดใจหยุดไปต่อเพราะทนพิษรุมเร้าทั้งต้นทุน ค่าเช่าที่ ค่าใช้จ่ายรายวัน ลูกน้อง ค่าจ้างพนักงาน และอีกสารพันไม่ไหว พร้อมใจยกธงยอมแพ้ ติดป้ายประกาศเลิกกิจการกันแบบรายวัน

หากเราดูจากข้อมูลของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ได้วิเคราะห์ประเด็น “ความท้าทายจากการเลิกกิจการของธุรกิจเอสเอ็มอี” โดยระบุไว้อย่างน่าสนใจว่า

การปิดตัวลงของธุรกิจภายใต้ภาวะเศรษกิจที่ชะลอตัว เริ่มเห็นภาพมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจ SME ที่ต้องเผชิญการแข่งขันที่สูง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า ธุรกิจ SME ในปี 2563 ยังคงมีความเสี่ยงจากการเลิกกิจการไม่ต่างจาก ปีที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากประเด็นทางด้านภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่กดดันต่อเนื่องแล้ว ยังมีความท้าทาย จากปัจจัยพิเศษที่เพิ่มเติมเข้ามา อาทิ ปัญหาภัยแล้งที่รุนแรงกว่าปี 2562 การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำและกระแสรักษ์โลก

 

 

ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ เป็นความเสี่ยงต่อหลาย ๆ ธุรกิจให้เผชิญความยากลำบากมากขึ้น การปรับตัวที่สำคัญเพื่อช่วยให้ธุรกิจ SME มีศักยภาพในการแข่งขันในระยะข้างหน้า

นอกจากการปรับลดต้นทุนแล้ว ยังควรเพิ่มยอดขายไปยังทุกช่องทางเพื่อเข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย ด้วยวิธีที่แตกต่าง จากเดิมหรือหลากหลายมากขึ้น ทั้งช่องทางหน้าร้าน รวมถึงช่องทางออนไลน์ที่เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ รวมถึงตลาดต่างประเทศ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้ต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ไม่สูง

5 กลุ่มธุรกิจ “อ่วม” ไม่ได้อีก

นอกจากนี้ ในแต่ละปีมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายใหม่ถึงกว่า 6 หมื่นรายที่สนใจเข้าสู่ธุรกิจ ขณะเดียวกัน จากปัญหาและข้อจำกัดต่าง ๆ ส่งผลให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีประมาณ 2 หมื่นรายต้องปิดหรือเลิกกิจการ

เช่นเดียวกัน การปิดตัวลงของธุรกิจภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเริ่มเห็นภาพมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีที่ต้องเผชิญการแข่งขันที่สูง ซึ่งส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ใน 5 กลุ่มธุรกิจหลักได้แก่ ค้าปลีก ค้าส่ง ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม ที่ส่วนใหญ่จะพึ่งพากำลังซื้อในประเทศค่อนข้างสูง

 

 

ข้อมูลดังกล่าว สอดคล้องกับตัวเลขล่าสุดของหน่วยงานสำคัญของการขับเคลื่อนภาคธุรกิจไทยอย่าง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ที่ล่าสุดมีรายงานสถิติการจดทะเบียนธุรกิจประจำเดือนเมษายน 2564 

โดย นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยผลการจดทะเบียนธุรกิจตามประเทต่าง ๆ ดังนี้

ธุรกิจจัดตั้งใหม่เดือนเมษายน 2564

 

• จำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่

มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศในเดือนเมษายน 2564 จำนวน 5,972 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 20,697.64 ล้านบาท


• ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด

3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 466 ราย คิดเป็น 8% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 283 ราย คิดเป็น 5% และอันดับ 3 คือ ธุรกิจในภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 185 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ


• ธุรกิจจัดตั้งใหม่แบ่งตามช่วงทุน

โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศมากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 4,477 ราย คิดเป็น 74.97% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 1,379 ราย คิดเป็น 23.09% ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 105 ราย คิดเป็น 1.76% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 11 ราย คิดเป็น 0.18% ตามลำดับ


ด้าน ธุรกิจเลิกประกอบกิจการ


• จำนวนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ

มีจำนวน 612 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 5,162.68 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

• ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด

3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 54 ราย คิดเป็น 9% รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 42 ราย คิดเป็น 7% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 25 ราย คิดเป็น 4% ตามลำดับ

• ธุรกิจเลิกประกอบกิจการแบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศ มากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 399 ราย คิดเป็น 65.20% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1- 5 ล้านบาท จำนวน 169 ราย คิดเป็น 27.61% ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 36 ราย คิดเป็น 5.88% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 8 ราย คิดเป็น 1.31% ตามลำดับ

ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่

• ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ทั้งสิ้น (ณ วันที่ 30 เม.ย. 64) ธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 795,160 ราย มูลค่าทุน 19.47 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 194,760 ราย คิดเป็น 24.49% บริษัทจำกัด จำนวน 599,109 ราย คิดเป็น 75.35% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,291 ราย คิดเป็น 0.16% ตามลำดับ

 

 

จากข้อมูลจะเห็นว่า อันดับของธุรกิจที่ครองตำแหน่งทั้งแชมป์เกิดใหม่ และเลิกกิจการ จะยังเกาะกลุ่มกัน ซึ่งคาดว่าการเพิ่มขึ้นของจำนวนการจดทะเบียนนิติบุคคลจัดตั้งใหม่ในไตรมาสแรกของปี มาจากปัจจัยบวกด้านเศรษฐกิจที่มีสัญญาณฟื้นตัว โดยดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนมี.ค. 64 ของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าหดตัวน้อยที่สุดในรอบ 13 เดือน รวมทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการเห็นสัญญาณที่ดีของเศรษฐกิจมากขึ้น

ทางด้านการแถลงข่าวเศรษฐกิจและการเงินเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2564 เศรษฐกิจไทยในเดือนมีนาคม 2564 ของธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่ามีการทยอยปรับดีขึ้น หลังการแพร่ระบาดรอบสองของ COVID-19 คลี่คลายลง โดยเครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ปรับดีขึ้นและแรงสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ ขณะเดียวกันการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมทองคำขยายตัวสูงขึ้นสอดคล้องกับการฟื้นตัวของอุปสงค์ประเทศคู่ค้า ส่งผลให้เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ต่อเนื่อง

 

 

ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบน้อยลงตามราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้นเป็นสำคัญ ด้านตลาดแรงงานยังคงเปราะบาง สะท้อนจากสัดส่วน ผู้ขอรับสิทธิว่างงานในระบบประกันสังคมต่อผู้ประกันตนทั้งหมดที่ยังอยู่ในระดับสูง

 

 

อย่างไรก็ดี เรื่องที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดขณะนี้และระยะยาวคือเรื่องของการแก้ปัญหาและเร่งเดินหน้าอาวุธกู้ภาคธุรกิจอย่าง วัคซีนโควิด-19 และบริหารจัดการเพื่อให้เกิดการกระจายให้ถึงประชาชนอย่างทั่วถึงและเหมาะสม อย่างรวดเร็ว ลดความเสี่ยงของการระบาดเป็นวงกว้าง เพื่อจะได้นำมาสู่แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูความเสียหายจากผลกระทบต่าง ๆ และกลับเข้าสู่สภาวะปกติหลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มมีการคลี่คลายลงได้ในเร็ววัน 

 

อ้างอิงข้อมูล : 

- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

www.bot.or.th

- กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

 


Mostview

ผลกระทบขึ้นค่าแรง 400 บาท อาจทำให้สินค้าขยับราคาขึ้น 15%

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้สำรวจความคิดเห็นภาคเอกชน ทั้งในภาคส่วนการผลิต การค้า และบริการ การปรับอัตราค่าแรงในแต่ละครั้งมักจะมีผลกระทบต่อทั้ง GDP เงินเฟ้อ ผลิตภาพแรงงาน รวมถึงอัตราการว่างงานทั้งบวกและลบ

KFC มาเลเซียปิดกว่า 100 สาขา เพราะถูกชาวมุสลิมคว่ำบาตรธุรกิจสัญชาติสหรัฐฯ

KFC แฟรนไชส์สัญชาติอเมริกันกำลังตกเป็นเป้าหมายการรณรงค์คว่ำบาตรธุรกิจของประเทศที่มีความเชื่อมโยงกับอิสราเอลที่ทำสงครามกับชาวปาเลสไตน์จนมีประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

นี่คือเหตุผล เพราะอะไรการทำงานหนักไม่การันตีว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป

ทุกคนมักคิด และถูกปลูกฝังมาตลอดว่าให้ทำงานหนักเข้าไว้ แล้วผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้ แต่นี่อันเป็นความเชื่อที่ผิดก็ได้ หากเราตั้งข้อสงสัยว่า “ความหมายการทำงานหนักที่แท้จริงคืออะไร?” ทำไมผู้คนต่างทำตาม และดิ้นรนให้เกิดขึ้นจริง

เศรษฐกิจไม่ดี! KFC-Pizza Hut ในจีน ดึงกลยุทธ์สุดฤทธิ์เรียกลูกค้า เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด

Yum China Holdings เจ้าของ KFC และ Pizza Hut เชนร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดในจีน วางแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มในพื้นที่ที่ยังไม่เคยเปิด โดยใช้กลยุทธ์ขายเมนูในราคาต่ำเพื่อดึงลูกค้าเข้ามาในจำนวนมาก

SmartSME Line