Family Bussiness เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีการเปิดเผยมากเท่าใดนัก การสืบทอดรุ่นสู่รุ่นเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการหลาย ๆ ท่านอยากให้เกิดขึ้นกับธุรกิจของตนเอง เพราะนั้นหมายความว่าธุรกิจของคุณมีความยั่งยืน แต่การจะทำให้ธุรกิจอยู่รอดในทุกยุคทุกสมัยต้องอาศัยการพัฒนาต่อยอดจากรุ่นต่อไปด้วย

       คุณรวิศ หาญอุตสาหะ กรรมการผู้จัดการ บริษัทศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด นักธุรกิจรุ่นใหม่ เจ้าของแป้งฝุ่นศรีจันทร์ที่เป็นที่ฮือฮาในการรีแบรนด์ และกำลังนิยมมากในหมู่สาว ๆ โดยคุณรวิศเล่าในงาน SMART SME EXPO 2015 ว่า “ตอนที่เข้ามารับธุรกิจนี้ในครั้งแรกเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว บริษัทดูโบราณมากเมื่อ 60 ปีที่แล้วเป็นอย่างไรก็ยังคงเหมือนเดิมอย่างนั้น มียอดขายอยู่ที่ประมาณ 20 ล้านบาท และด้วยการที่ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลยบริษัทคงปิดตัวลงไปแล้วแน่ ๆ เป็นการสืบทอดจากคุณปู่ ไปคุณอา แล้วก็เป็นผมเลย ครั้งแรกที่ผมไปพบลูกค้า ลูกค้าถามผมว่า บริษัทคุณยังเปิดอยู่อีกเหรอ  ผมเลยคิดว่าถึงเวลาที่ต้องปรับผลิตภัณฑ์แล้ว ผมเริ่มจากการสอบถามความคิดเห็นจากน้องที่เป็นวัยรุ่น ที่ใช้ผงหอมศรีจันทร์ ซึ่งเธอบอกว่าคุณภาพมันดีมาก แต่โปรดักซ์ไม่น่าพก เวลาซื้อมาใช้ต้องเปลี่ยนกระปุกเป็นกระปุกอื่น เพราะตลับของแป้งศรีจันทร์มันดูโบราณมาก หลังจากนั้นผมจึงเริ่มพัฒนาโปรดักซ์ให้ดูทันสมัยขึ้น และล่าสุดได้ปรับคุณภาพของแป้ง และคุณภาพโปรดักซ์ ให้มีคุณภาพ และดูความสวยงามขึ้น ซึ่งก็ได้มีการปรับราคาขึ้นด้วยจากที่เราเคยขายตลับละ 18 บาท เป็น ราคา 280 บาท ทั้งนี้ลูกค้าโอเคกับราคานี้ นอกจากนี้ยังปล่อยโฆษณาตัวล่าสุดที่ตอกย้ำความทันสมัยของศรีจันทร์ หลังจากโฆษณาตัวใหม่ได้ถูกปล่อยออกไป 10 วันแรกยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 2 แสนชิ้น ซึ่งมากกว่ายอดขายทั้งปีก่อนที่เราจะรีแบรนด์อีกครับ”

       คุณเกยูร กิติธเนศวร เจ้าของ ยู้ ลูกชิ้นปลาเยาวราช “จุดเริ่มต้นของธุรกิจ มาจากคุณพ่อเลยค่ะ ที่บ้านทำธูรกิจลูกชิ้นขายส่งอยู่ที่เยาวราช และคุณพ่อขายดีมากทุกเช้าจะมีลูกชิ้นเป็นกะละมัง ๆ เยอะมาก และจะมีคนมาแย่งซื้อกันเต็มไปหมด ด้วยความอยากรู้จึงถามคุณพ่อว่าทำไมถึงขายดี คุณพ่อตอบว่า เพียงแค่ทำลูกชิ้นที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขายในราคาที่เป็นธรรม รสชาติที่อร่อยที่สุดคือรสชาติที่มีความเป็นธรรมชาติ เมื่อเห็นคุณพ่อขายดีขนาดนี้เราก็อยากจะดูแลธุรกิจของที่บ้านบ้าง แต่คุณพ่อกลับบอกว่า ให้ไปเรียนให้จบก่อน การทำธุรกิจรู้จักแค่ขายสินค้าไม่ได้ ต้องเรียนรู้ภาษา เพราะเราจะทำธุรกิจอยู่เท่านี้หรือ จะไม่ส่งออกเลยหรือ ต้องเรียนรู้การคำนวน การทำปล้องลูกชิ้นก็ต้องมีการคำนวนมันก็จะได้มาตรฐาน ต้องเรียนรู้เรื่องศิลปะ ความสวยงามก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกันในการทำธุรกิจ คุณพ่อให้ไปเรียนจนจบปริญญาเอก กลับมาเราก็ยังไม่ได้ดูแลธุรกิจ คุณพ่อให้ไปเรียนรู้การทำงานก่อน พอทำงานสักพักก็เลยตัดสินใจทิ้งเงินเดือนมาเปิดร้านฝั่งตรงข้ามกับร้านของคุณพ่อเลย  แต่เราก็ได้ใช้การตลาดในการขายโดยเน้นในด้านราคาและทำเลสถานที่ซึ่งมีความสำคัญมาก ตอนแรกติดป้ายเลยว่า 25 บาท เพื่อเรียกลูกค้า ต่อมาก็ขายดีขึ้น และขยายมาเรื่อยๆ โปรโมชั่นวันแรกหมดภายใน 3 ชั่วโมง

        ที่ประทับที่สุดคือ สมเด็จพระเทพ ทรงได้เสด็จมาที่ร้านด้วยถือเป็นศิริมงคลอย่างมากแก่ร้าน เพราะหลังจากนั้นร้านของเราก็ดังมาก ยอดขายไม่ถึง 200 ล้าน/ปี เรียกได้ว่าเป็นเปิดศึกกับคุณพ่อตัวเอง แต่ยังไงคุณพ่อก็เก๋ากว่ามากค่ะ”

        ส่วนประสบการณ์จากคุณเมธา สิมะวรา บริษัท ห้าตะขาบ (ซิมเทียนฮ้อ) จำกัด สินค้าไม่รีแบนด์ แต่การเพิ่มศักยภาพ คุณเมธา เล่าว่า “แบรนด์ห้าตะขาบ สืบทอดมาจากรุ่นคุณปู่ ซึ่งเป็นคนจีนมีความรู้เรื่องทำยาแบบครูพักลักจำ จากที่เรียนรู้ด้วยตัวเองก็เลยหันมาทำยาขาย แรก ๆ ทำอยู่หลายประเภท แต่ยาแก้ไอได้รับความนิยมมากที่สุด และพอคุณปู่เสีย กิจการจึงได้ตกทอดมาอยู่ที่คุณพ่อกับคุณอา ซึ่งคุณพ่อกับคุณอาเป็นคนที่ทำให้แบรนด์มีชื่อเสียงขึ้นมา การทำกิจการในครอบครัวของผมค่อนข้างเข้มงวดในเรื่องของการคัดกรองผู้ดูแลกิจการ ในครั้งแรกผมเองก็ไม่ผ่านการคัดกรอง จึงต้องออกมาทำงานราว ๆ 7 ปีเศษ แล้วจึงได้มีโอกาสเข้าไปทำอีกครั้ง พอกลับมาทำบริษัทก็มีชื่อเสียงเพิ่มขึ้น ตอนแรกยังไม่ส่งออกด้วยความที่ผมเรียนจบวิศวะมา จึงมุ่งเน้นในการดูแลดูแลหลังบ้านก่อน ให้ในส่วนโรงงานมีความเข้มแข็ง ส่วนตัวผลิตภัณฑ์ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยเป็นแบบเดิม ๆ ซึ่งมีความคลาสสิคอยู่แล้ว หลังจากนั้นก็ได้มีการส่งออก อัตราการส่งออกอยู่ที่ 40% โดยส่งไปที่ฮ่องกง มาเก๊า และสิงคโปร์ สำหรับการขายได้ไม่ได้นั้นเป็นเรื่องคุณภาพเป็นตัวหลัก ผมจึงเน้นเรื่องการดูแลโรงงาน”

       ในด้านการบริหารคนคุณรวิศ กล่าวว่า “ถึงแม้เราจะเป็นคนใหม่ แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรกับคนเก่าพนักงานไม่มีปัญหาอะไรกับการปรับปรุงแบรนด์ สำหรับการเปลี่ยนผู้บริหารถ้าหากเรามีความเชื่อว่าอยากทำงานออกมาดี ส่วนตัวผมคือต้องมีลูกบ้าเยอะ คิดเอง ตัดสินใจเอง ทำเอง ถ้าบริษัทโตขึ้น ต้องมีแผนพัฒนาธุรกิจ เพิ่มทุนจดทะเบียน ต้องมีการบริหารจัดการ ขอตัดสินใจเอง ทำด้วยตัวเองก่อน อย่าเพิ่งให้ญาติพี่น้องมามีส่วนร่วมในการบริหาร จนกว่าจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ หลังจากนั้นจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบอร์ดบริหารทำหน้าที่บริหารกิจการต่อไป แนวทางธุรกิจครอบครัวสำหรับผมต้องการความอิสระ และความคล่องตัวในการตัดสินใจในการทำงาน”