ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทรนด์อาหารวีแกน ซึ่งเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่จะมีผัก และผลไม้เป็นหลัก กลายเป็นทางเลือกของคนที่อยากหลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ จึงทำให้เกิดธุรกิจร้านอาหารประเภทนี้ขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์ เจาะกลุ่มเป้าหมายคนรักสุขภาพ

อย่างไรก็ตาม มีประเด็นให้เป็นที่ถกเถียง พูดถึง เมื่อมีร้านอาหารวีแกนแห่งหนึ่งต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจด้วยการเพิ่มเมนูเนื้อสัตว์เข้ามา เพื่อให้ร้านอาหารที่ทำอยู่สามารถเดินต่อไปได้ หลังพบว่าจำนวนลูกค้ามาสั่งอาหารประเภทวีแกนน้อยลง ส่งผลต่อยอดขายของร้านที่หดตัว

Adonis Norouznia เจ้าของร้าน Nomas Gastrobar บอกว่าเขาตัดสินใจเปลี่ยนเมนู เพราะลูกค้าจำนวนมากเดินทางมาที่ร้าน และเห็นเฉพาะเมนูวีแกนเท่านั้นจึงลุกออกจากร้านไป ดังนั้นการเพิ่มเมนูเนื้อสัตว์เลยเป็นเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลกำไร แต่การตัดสินใจในครั้งนี้ก็สร้างความโกรธเคืองให้กับลูกค้าที่เป็นสายวีแกน มีการส่งข้อความมาว่าไม่เห็นด้วย

ก่อนหน้านี้ ทางร้านได้สำรวจเพื่อหาทางเลือกที่หลากหลาย เพื่อให้ร้านอาหารได้เปิดต่อไป โดยราคาเครื่องดื่มยังคงไว้เท่าเดิมท่ามกลางวิกฤตค่าครองชีพ ขณะเดียวกันก็มีการลดต้นทุนในส่วนต่าง ๆ จะได้ประหยัดเงิน แต่สิ่งที่ทำไปเหล่านี้ไม่ได้ช่วยอะไร ทำให้มีความจำเป็นต้องเพิ่มเมนูเนื้อสัตว์ สำหรับสร้างรายได้นำเงินไปจ่ายค่าแรงพนักงาน และค่าเช่า

ทางร้านเข้าใจดีว่าการตัดสินใจเสิร์ฟเมนูเนื้อสัตว์นำมาซึ่งความตกใจ และกระแสตีกลับที่ส่งมายังร้าน แต่เราไม่สามารถเห็นเห็นภาพลูกค้าเข้ามาดูเมนูอาหารวีแกน และเดินจากไปได้ เช่นเดียวกับลูกค้าบางรายที่ปฏิเสธจะจ่ายค่าอาหารเช้าแบบเต็มจำนวน หลังแปลกใจที่เบคอน และไส้กรอกทำมาจาก plant-based โดยปัจจุบันร้านได้เพิ่มไส้กรอก, เบคอน, ไข่ รวมถึงมีเบอร์เกอร์หมู, ไก่ และเนื้อวันที่จะถูกเพิ่มเข้ามาเร็ว ๆ นี้ แต่อาหารวีแกนยังเป็นเมนูหลักของร้านเหมือนเดิม

ไม่ใช่แค่ร้าน Nomas Gastrobar ที่เป็นร้านอาหารวีแกน แต่เพิ่มเมนูเนื้อเข้ามา เพราะก่อนหน้านี้ก็มีร้านอาหารแบบเดียวในสหราชอาณาจักรที่ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของธุรกิจใช้วิธีเดียวกัน เนื่องจากรายได้ที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ต้องหาวิธีเพิ่มรายได้ แน่นอนว่านี่อาจเป็นสัญญาณเตือนเริ่มต้นว่าอาหารวีแกนเริ่มได้รับความนิยมจากผู้บริโภคน้อยลงแล้ว

ที่มา: dailymail