สตาร์ทอัพ ถือเป็นธุรกิจที่มาแรงแห่งยุค ผู้ประกอบการหลายรายที่ลงแข่งในสนามนี้ล้วนเสนอบริการที่ตอบโจทย์ แก้ปัญหาให้กับผู้คน แน่นอนว่ามีหลายแบรนด์ที่ก้าวขึ้นไปสู่ระดับยูนิคอร์นแบบสง่างาม

ประเด็นที่น่าสนใจที่อยากจะนำมาเล่า นั่นคือกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของเหล่าสตาร์ทอัพที่มักทำกัน คือ “เผาเงิน” และยอมขาดทุนในช่วงแรก เพื่อสุดท้ายให้เป้าหมายที่ต้องการ

ทำไมต้อง “เผาเงิน”

คำตอบที่สตาร์ทอัพมักเผาเงินก่อน เพื่อนำผู้บริโภค กลุ่มลูกค้า กลุ่มเป้าหมายเข้ามาอยู่ในแพลตฟอร์มให้ได้มากที่สุด ให้กลายเป็นคอมมูนิตี้ ติดตลาดเป็นที่รู้จักให้ได้มากที่สุด ผ่านข้อเสนอ โปรโมชัน ต่าง ๆ ที่ดึงดูดใจจนไม่สามารถปฏิเสธได้

ตัวอย่างที่เห็นภาพอย่าง Shopee-Lazada ที่ใช้โมเดลแบบสตาร์ทอัพ ที่ใช้วิธีเผาเงินจากการระดมทุนของนักลงทุน โดยเงินจะถูกใช้ไปกับโค้ดส่วนลด, การส่งฟรี แน่นอนว่าใครเห็นก็ต้องชอบ และไม่รีรอที่จะเข้ามาเลือกซื้อสินค้าในมาร์เก็ตเพลสแห่งนี้

หลังจากนั้น เมื่อได้ตามความต้องการก็เข้าสู่ภาวะทำกำไร นั่นคือมีการเก็บค่าบริการ ค่าธรรมเนียม ผลที่ตามมาการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องของตำแหน่งงานที่บางตำแหน่งไม่จำเป็นต้องมี ยกตัวอย่าง ตำแหน่ง Key account ซึ่งเป็นผู้ดูแล Seller เจ้าใหญ่ เมื่อมองรายละเอียดของงานก็ได้คำตอบว่าทุกวันนี้ Seller เจ้าใหญ่ไม่จำเป็นต้องหาคนมาคอยดูแล เพราะพวกเขาสามารถดูแลตัวเองได้จากประสบการณ์การขายมาเป็นระยะเวลานาน

หากยกกรณีการปลดพนักงานของ Shopee มองอีกมุมหนึ่ง ธุรกิจอาจไม่ได้ประสบปัญหาอะไร แต่อยู่ในช่วงที่ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ดังนั้นการปลดพนักงานจึงเป็นการปรับลดต้นทุนในเรื่องค่าจ้างพนักงานได้อย่างมหาศาล และเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อเข้าสู่การทำกำไรของธุรกิจก็เป็นได้

เมื่อมาดูในเรื่องของผลประกอบการของ Lazada กับ Shopee พบว่า Lazada เริ่มทำกำไรแล้ว ส่วน Shopee ยังคงขาดทุนอยู่

ผลประกอบการบริษัท ลาซาด้า จำกัด ในปี 2564 มีรายได้รวม 14,675 ล้านบาท กำไร 227 ล้านบาท, ในปี 2565 มีรายได้รวม 20,675 ล้านบาท กำไร 413 ล้านบาท

ขณะที่ผลประกอบการของบริษัท ช้อปปี้ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด มีรายได้รวม 15,011 ล้านบาท ขาดทุน 290 ล้านบาท ซึ่งเราต้องมาติดตามกันว่าหลังปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญ ผลประกอบการของ Shopee ในปีถัดไปจะกลับมาทำกำไรได้หรือไม่

#Smartsme #เผาเงิน #สตาร์ทอัพ #Shopee #Lazada