วันพุธ, พฤษภาคม 1, 2567

ความต่างระหว่างผู้บริหารแบบเก่า-แบบใหม่ ที่คนทำธุรกิจไม่รู้ไม่ได้

by Anirut.j, 23 มกราคม 2567

หลักการบริหารเป็นทักษะสำคัญของคนทำธุรกิจที่ต้องมีติดตัว แต่ด้วยวัน-เวลาที่เปลี่ยนแปลงไป บางทีหลักการ หรือแนวคิดที่เรายึดติดเอาไว้เป็นแนวทางในการทำงานอาจจะใช้ไม่ได้เสมอไป และต้องมีการปรับให้มีความเหมาะสมกับบริบทให้ราบรื่นที่สุด

เราไม่ต้องสงสัยเลยว่าโลกแห่งการทำงานเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากปัจจัยในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยี, โลกาภิวัตน์, บรรยากาศในที่ทำงานที่ไม่เหมือนเดิม เพื่อที่จะประสบความสำเร็จ ผู้นำหรือผู้บริหารในยุคปัจจุบันจำเป็นต้องหาแนวทางจัดการที่ทันสมัยกว่านี้มาประยุกต์ใช้ ทั้งแนวคิด และกลยุทธ์ใหม่ ๆ

โดยในบทความนี้ Smartsme จะพาไปรู้จักผู้นำแบบดั้งเดิม และผู้นำแบบใหม่ โดยทั้งสองแบบมีข้อดี-ข้อเสีย แตกต่างกันออกไป ซึ่งเราสามารถนำเอา 2 แนวทางนี้มาประยุกต์ใช้ เสริมส่วนที่ขาดหายซึ่งกันและกันได้ เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดออกมา

ความแตกต่างระหว่าง “ผู้นำแบบเดิม” กับ “ผู้นำสมัยใหม่”

มองได้ว่าผู้นำแบบเดิมมักมีรูปแบบการบริหารแบบ “เผด็จการ” หมายความว่าพวกเขาตัดสินใจโดยไม่มีใครเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือรับข้อมูลจากผู้อื่น แต่ผู้นำสมัยใหม่ มักมีรูปแบบการทำงานร่วมกัน พร้อมให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และเดินหน้าไปสู่เป้าหมายพร้อมกัน

ในส่วนของการทำงาน ผู้นำแบบเดิมอาจให้ความสำคัญกับเป้าหมายที่เน้นไปที่การทำงาน ขณะที่ผู้นำสมัยใหม่ให้ความสำคัญกับเป้าหมายที่มุ่งเน้นผู้คนมากกว่า โดยทั่วไปแล้วผู้นำแบบดั้งเดิมจะใช้แนวทางจากบนลงล่าง ผ่านการตัดสินใจที่ปราศจากการได้รับข้อมูลจากผู้อื่น สวนทางกลับผู้นำยุคใหม่ที่มีแนวโน้มที่จะใช้วิธีการสร้างการมีส่วนร่วมแบบประชาธิปไตยมากกว่า สร้างการมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ

เรื่องนี้ยังขยายถึงบทลงโทษที่ผู้นำแบบดั้งเดิมจะใช้มาตรการลงโทษบังคับใช้ตามเจตจำนงของตนเอง ส่วนผู้นำสมัยใหม่จะเน้นการสร้างแรงบันดาลใจมากกว่า

ที่กล่าวมาเป็นภาพรวมของการบริหารของผู้บริหารดั้งเดิม และผู้บริหารยุคใหม่ ที่นี้เรามาดูกันต่อว่า หากในเชิงการทำธุรกิจที่ชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารยุคใหม่ทำได้ดีกว่าผู้นำยุคเก่า

1.โฟกัสเป้าหมาย: ผู้นำยุคใหม่มักให้ความสำคัญกับการบรรลุผลลัพธ์มากกว่าผู้นำแบบเดิม ๆ ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะเน้นการดำเนินการที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร แทนที่จะรักษาสภาพคงอยู่ที่มี

2.เน้นการทำงานร่วมกัน: ผู้นำยุคใหม่มักจะเน้นการทำงานร่วมกัน และการทำงานเป็นทีมมากกว่าความสำเร็จส่วนบุคคล สิ่งนี้จะกลายเป็นการสร้างความเหนียวแน่น เกิดเป็นความสร้างสรรค์ และมีนวัตกรรมเกิดขึ้น

3.ความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง: ผู้นำยุคใหม่มุ่งมั่นที่จะเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ทั้งเพื่อตัวเอง และทีมของพวกเขา สิ่งนี้ทำให้พวกเขาไม่พลาดเทรนด์ ตลอดจนการพัฒนาในอุตสาหกรรมของตน รวมถึงพัฒนาทักษะความรู้ใหม่ ๆ

4.โฟกัสกับการเสริมสร้างศักยภาพพนักงาน: ผู้นำยุคใหม่มุ่งมั่นที่จะเพิ่มศักยภาพให้กับพนักงานของตน แทนที่จะทำเพื่อตัวเอง สิ่งนี้สามารถนำไปสู่ความพึงพอใจ และสร้างแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น

5.เปิดกว้างต่อการเปลี่ยนแปลง: ผู้นำยุคใหม่มักจะเปิดรับการเปลี่ยนแปลง ทั้งในลักษณะที่สิ่งที่ทำ และเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับองค์กร สิ่งนี้ทำให้พวกเขาปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ และโอกาสใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

ที่มา: hidayatrizvi


Mostview

ปิดแล้ว! ร้าน Lawson ฉากหลังภูเขาฟูจิ หลังนักท่องเที่ยวไม่ทำตามกฏ ทิ้งขยะเกลื่อน

อีกหนึ่งจุดถ่ายภาพเวลานักท่องเที่ยวไปภูเขาฟูจิที่ประเทศญี่ปุ่น นั่นคือพื้นที่ร้านสะดวกซื้อ Lawson ที่มีฉากหลังเป็นภูเขาฟูจิ ที่เรียกว่าเป็นแลนด์มาร์คที่ใครมาต้องมาถ่ายรูปให้ได้ แต่ตอนนี้กำลังจะเหลือเพียงความทรงจำ กลายเป็นอดีต

คู่รักนักธุรกิจอินเดียบริจาคทรัพย์สิน 890 ล้านบาท พร้อมออกบวชเข้าสู่เส้นทางศาสนา

คู่รักชาวอินเดียผู้มั่งคั่งจากรัฐคุชราตได้บริจาคทรัพย์สินทั้งหมดคิดเป็นมูลค่า 200 ล้านรูปี (ประมาณ 890 ล้านบาท) เพื่อบวชเป็นพระ หลังได้รับแรงบันดาลใจจากการบวชของลูกชาย และลูกสาว

เปิดธุรกิจที่ได้รับประโยชน์ หากเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เริ่มใช้งาน

ผลสำรวจบอกผู้มีสิทธิ์ใช้เงินดิจิทัลวอลเล็ต จะเลือกใช้จ่ายร้านค้าท้องถิ่น 40% รองลงมาเป็นร้านสะดวกซื้อ เช่น CJ, 7-Eleven 26%

สิงคโปร์ แจกเงินละ 8,000 บาท ให้ 1.1 ล้านครัวเรือนไปซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า-ประปา ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

จากสถานการณ์โลกร้อนทำให้หลายประเทศกลับมาตระหนักถึงเรื่องนี้กันมากยิ่งขึ้น ทำอย่างไรที่จะออกนโยบายที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้ประชาชนตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอันดับต้น ๆ

จับตาราคา “เนย” เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในตลาดโลกใกล้แตะระดับสูงสุดเท่าทีเคยมีมา

ไม่ใช่ “โกโก้” เท่านั้นที่ราคาพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์จากปัจจัยเรื่องของสภาพอากาศที่เลวร้าย และโรคที่มากับพืชจนส่งผลกระทบต่อแหล่งเพาะปลูก ทำให้ได้ผลผลิตน้อย นำมาสู่การปรับราคาของสินค้าที่มี “โกโก้” เป็นส่วนผสม ซึ่งคาดการณ์ว่าราคาจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

SmartSME Line